วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

7 สิ่งที่ไม่ควรทำหลังการทานอาหาร :)


1. อย่าสูบบุหรี่ !!จากผลการทดลองของผู้เชี่ยวชาญพบว่าการสูบบุหรี่หลังอาหาร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ยามปกติถึง 10 มวน(ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น ซึ่งสูบปกติก็มีโอกาสเป็นอยู่แล้ว)
2. อย่ากินผลไม้ทันทีหลังอาหาร !!เพราะมันไปพองในท้องคุณให้กินผลไม้ 1 หรือ 2 ชม. ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้จะดีกว่า
3. อย่าดื่มน้ำชา !!เพราะว่าใบชามีความเป็นกรดสูงทำให้โปรตีนในอาหารที่เรากินกระด้างขึ้นทำให้ย่อยยาก
4. อย่าขยายเข็มขัดหลังกินอิ่ม !!เพราะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ปกติ
5. อย่าอาบน้ำหลังกินข้าว !!เพราะการอาบน้ำ จะทำให้โลหิตไหลเวียนไปที่มือ และเท้าทั่วร่างกายเป็นเหตุ
ให้ปริมาณโลหิตไหลเวียนบริเวณท้องก็เพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่
6. อย่าเดินหลังอาหาร !!แม้คุณจะเคยได้ยินว่ากินข้าวแล้วให้เดินสัก 100 ก้าวจะทำให้อายุยืนถึง 99 ปี !?!การเดินทันทีทำให้การย่อยเพื่อดูดซึมสารอาหารทำได้ไม่ดีควรรออย่างน้อยสักชั่วโมงค่อยเดินถ้าต้องการ
7. อย่านอนทันที !!อาหารที่รับประทานเข้าไปไม่สามารถย่อยได้เต็มที่อาจทำให้เกิดลมหรือแก๊สในทางเดินอาหาร

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

10 อันดับเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของโลก



อันดับ 10 Cahokia

ว่ากันว่าเมืองชื่อเก๋นี้มีคนอาศัยอยู่สามหมื่นคนทีเดียว ตั้งอยู่ที่แถวรัฐอิลลินอยส์ แถวๆ อเมริกาเหนือ และเรียกได้ว่าเป็นเมืองแรก จริงๆ ของประเทศมหาอำนาจนี้ ที่นี่มีอารยธรรมริมฝั่งแม่น้ำมิสซิสซิปปี้เกิดขึ้น มีสถาปัตยกรรมต่างๆ มากมาย ที่บอกให้รู้ถึงความเจริญที่เคยมีมาในอดีต น่าสนใจมาก



อันดับ 9 Xi'an

ซีอาน เป็นเมืองที่เข้มแข็ง และแข็งแกร่งมาก ที่เมืองนี้มีสิ่งที่น่าตื่นตาคือกองทัพของจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่ถูกสร้างเป็นรูปปั้นกว่า 3,000 รูป ว่ากันว่าสุสานของพระองค์ก็อยู่แถวนี้ด้วย และถ้าหาเจอ ก็น่าจะมีสมบัติอยู่มากมายทีเดียว



อันดับ 8 Great Zimbabwe

ที่อัฟริกานี้เอง เกิดเมืองก่อนพวกยุโรปเสียอีกแน่ะ เมืองนั้นชื่อว่าซิมบับเว เชื่อกันว่ามีอารยธรรมที่พร้อมมูลทุกอย่าง มีการพบหลักฐานของการสร้างรูปปั้น และสถาปัตยกรรมต่างๆ มากมายเป็นจักรวรรดิย่อยๆ เลยละ



อันดับ 7 Thebes

เมื่อพูดถึงอียิปต์ คนมักคิดถึงไคโรเป็นหลัก แต่ว่าหัวใจหลักของที่นี่คือเมืองที่อยู่แถวแม่น้ำไนล์อย่าง ธีปส์ ที่เป็นเมืองหลวงมากว่า 4500 ปี มีวัดศักดิ์สิทธิ์อย่าง คาร์นัค และลัคซอร์ ที่เป็นที่รู้จักกันดี



อันดับ 6 Tenochtitlan

เมืองแห่งตำนาน ที่เคยเป็นเมืองที่สวยที่สุดในโลกนี้ตั้งอยู่ที่เม็กซิโก ได้รับความเชื่อว่าเมื่อก่อนมีคนอาศัยถึงสามแสนคนทีเดียว และพวกสเปนก็อพยพเข้ามา นำอารยธรรมมากมายเข้ามาเผยแพร่ สืบต่อมาจนวันนี้



อันดับ 5 Cuzco

เมื่อก่อนมีคำว่า All roads in the Incan empire lead to Cuzco ก่อนที่จะมาเป็น All roads lead to Rome เมืองแห่งนี้มีความเจริญ รุ่งเรืองอย่างมาก และเคยเป็นที่กล่าวถึงอย่างหนาหูทีเดียว



อันดับ 4 สวนลอยฟ้าแห่งบาบิโลน

อันนี้เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักแน่ๆ เมืองบาบิโลน ที่มีประวัติศาสตร์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนสุดๆ เป็นเมืองเก่าที่มีชื่อเสียงจริงๆ และมีจุดเด่นมาก เป็นหอคอยที่สูงเสียดฟ้า ขนาดใหญ่มหึมา



อันดับ 3 Constantinople

คอนสแตนติโนเบิล เมืองที่จักรพรรดิเมื่อก่อนสร้างไว้ เพื่อมาอยู่อาศัยสลับกับโรม เมืองนี้จึงเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงที่สุด ทั้งใหญ่โต ร่ำรวยไปด้วยอารยธรรม มหาวิทยาลัย โบสถ์ ฯลฯ มากมายจริงๆ



อันดับ 2 Athens

เอเธนส์ สถานที่เกิดของประชาธิปไตย ปรัชญา และโอลิมปิก ช่างเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงจริงๆ เลย และได้สร้างอะไรหลายๆ ตกทอด มาถึงชาวโลกมากมายด้วย มีทั้งวิหารพาเธนอนที่สวยงาม และมีสถาปัตยกรรมอื่นๆ ที่น่าชมจริงๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้ ที่นั่นจะสลายไปก็ตาม แต่อิทธิพลที่ตกทอดมา ไม่เคยจางไปไหนเลยจริงๆ



อันดับ 1 Rome

ท่านเคยได้ยินคำพูดที่ว่า "กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว" ไหมครับ กรุงโรมคงจะมีอาณาจักรที่ใหญ่มากอย่างแน่นอน ที่นี่มีเรื่องราว,วัฒนธรรมที่หลากหลายอย่างมาก เคยเป็นจักรวรรดิที่รุ่งเรืองมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีอารยธรรมที่ก้าวไกลกว่าเมืองอื่นๆ ทั้งหมด ประชากรอยู่กันอย่างแสนสบาย เรียกว่าเป็นอีกเมืองที่ทั้งเก่าแก่ และมีชื่อเสียงมากที่สุดของโลก

เคล็ดลับ ‘ดื่มน้ำ’ ได้สุขภาพ :))



สำหรับน้ำที่ดื่ม ไม่ควรเย็นจี๋ เพราะทำให้เส้นเลือดที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารหดตัวลง หากเป็นเช่นนั้นเซลล์จะปรับตัวและขยายตัวเพื่อดูดซึม ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการปรับอุณหภูมิก่อนดูดซึม จึงมักเกิดอาการจุกหน้าอกขณะกระหายน้ำ
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัย ชี้ว่า การดื่มน้ำเย็นจัดมากเกินไปจะทำให้ขีดความสามารถในการทำงานของสมองลดลงทันที ส่งผลกระทบต่อการขับรถ หรือทำงานที่ต้องใช้สมอง ซึ่งน้ำเย็นจัดเพียงแค่แก้วเดียว ยังทำให้สภาพจิตใจของบางคนลดลงร้อยละ15
ส่วนการดื่มน้ำร้อนจัดก็ไม่ควร เพราะความร้อนของน้ำอาจทำลายเยื่อบุช่องปากและทางเดินอาหาร จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรค
การดื่มน้ำที่ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ควรเป็นน้ำที่มีอุณหภูมิใกล้เคียงหรือต่ำกว่าอุณหภูมิร่างการเล็กน้อย เช่น น้ำอุณหภูมิห้อง หรือน้ำที่มีอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส ร่างกายจะดูดซึมไปใช้ในระบบหมุนเวียนเลือดได้ทันที
โดยเฉพาะในหน้าหนาว ช่วงเวลาที่ควรดื่มน้ำ นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แนะนำไว้ 3 ช่วงด้วยกัน ประกอบด้วย แก้วแรกของวัน ดื่มระหว่าง 05.00-07.00 น. จะช่วยการขับถ่าย ช่วงต่อไป คือ 15.00-17.00น. จะช่วยล้างกระเพาะปัสสาวะ และแก้วสุดท้ายของวัน ดื่มก่อนเข้านอน 1 ชั่วโมง ช่วยการนอนหลับที่ดี
ในแต่ละวัน ปริมาณน้ำดื่มที่ร่างกายต้องการของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไปตามน้ำหนักตัว ซึ่งมีวิธีคำนวณง่ายๆ ในสูตร น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หาญด้วย 2 แล้วคูณด้วย 2.2 และคูณด้วย 30 จะได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นปริมาณน้ำหน่วย c.c. ที่ควรดื่มในแต่ละวันนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำ ไม่ควรดื่มคราวละมากๆ เพราะจะทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย โดยควรดื่มแบบค่อยๆ จิบ เซลล์ในร่างกายจะดึงน้ำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความจำแย่แก้ได้ด้วย 4 วิธี ?



วิธีแรก โฟกัสสาย ตา โดยนั่งจ้องวัตถุ หรือ เหตุการณ์ตรงหน้า จดจำรายละเอียดให้มากที่สุด นานประมาณ 3 นาที จากนั้น ละสายตา แล้ววาดสิ่งที่เห็นบนกระดาษ เมื่อเสร็จตรวจดูว่ามีสิ่งใดตกหล่นไปหรือไม่ ฝึกสม่ำเสมอจะช่วยพัฒนาความจำระยะสั้น บริหารสมอง และเสริมประสิทธิภาพความจำด้านสายตา
วิธีต่อมา รับ ประทานอาหารอุดมวิตามินซี, อี และเบต้าแคโรทีน โดยเฉพาะส้ม องุ่น เบอร์รี ผักสีเขียว ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เซลล์สมองเสื่อม ทั้งนี้ ผลวิจัยในต่างประเทศพบว่า ผู้บริโภควิตามินซีสูง มีผลการทดสอบด้านสมาธิ ความจำ และการคำนวณดีที่สุด
ตามด้วย การทำ กิจกรรมท้าทายความคิด เมื่ออายุเริ่มเข้าเลขสาม สมองจะเริ่มทำงานช้าลง ดังนั้น ควรหางานอดิเรกยามว่างที่สนุกสนานทำ เช่น เต้นแทงโก้ เรียนภาษาใหม่ ต่อจิ๊กซอว์ เกมส์ปริศนาอักษรไขว้ เล่นปิงปอง เป็นต้น ช่วยพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของสมอง และความจำได้ดี
สุดท้าย นอนให้ เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เซลล์ประสาทจะสื่อสารกันได้มากขึ้น ส่งผลต่อการเรียนรู้ และความจำ

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อิสตันบูล ตุรกี :))




อิสตันบูล (ตุรกี: İstanbul) เมื่องสำคัญอันดับ 1 ของประเทศ เดิมชื่อ คอนสแตนติโนเปิล เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศตุรกี ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus) ซึ่งทำให้อิสตันบูลเป็นเมืองสำคัญเพียงเมืองเดียวในโลก ที่ตั้งอยู่ใน 2 ทวีป คือ ทวีปยุโรป (ฝั่ง Thrace ของบอสฟอรัส) และทวีปเอเชีย (ฝั่งอนาโตเลีย)

ในอดีต อิสตันบูลเป็นเมืองสำคัญของชนเผ่าจำนวนมากในบริเวณนั้น จึงส่งผลให้อิสตันบูลมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป เช่น ไบแซนเทียม, คอนสแตนติโนเปิล, สแตมโบล, อิสลามบูลเป็นต้น คำว่า อิสตันบูล มาจากภาษากรีก แปลว่า "ในเมือง" หรือ "ของเมือง"

อิสตันบูลได้สั่งสมความยิ่งใหญ่มาอย่างต่อเนื่อง และยาวนานจากอดีตถึงปัจจุบัน อิสตันบูลในอดีตเคยเป็นอดีตราชธานีของสามอาณาจักรที่สำคัญคือ โรมันตะวันออก ไบแซนไทน์ (Byzantine) และออตโตมัน (Ottoman) ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกมุสลิม

" อิสตันบูล" ยังเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญเมืองหนึ่งของตุรกี มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกทั้งยุโรปและเอเชียเดินทางไปเยือนแต่ละปีเป็น จำนวนมากเพราะอากาศที่นั่นเย็นสบาย สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์น่าสนใจและโด่งดังไปทั่วโลก

ปี 2553 อิสตันบูลเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดสำหรับในศักราชใหม่นี้ ด้วยความที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คุ้มค่า ทั้งยังมอบความหลากหลายตั้งแต่ชายหาดอันสวยงาม ตลาดนัด ไปจนถึงช่องแคบบอสฟอรัสอันน่าทึ่ง

แม้อิสตันบูลจะไม่ใช่เมืองหลวงของตุรกีอย่างกรุงอังการา แต่มีความสำคัญทัดเทียมกัน ทั้งในแง่ที่เป็นเมืองใหญ่ที่สุด และเป็นศูนย์กลางความเจริญด้านธุรกิจการค้าและการท่องเที่ยว อีกทั้งยังเป็นฉากสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของอนาโตเลีย เพราะอิสตันบูลก็คือกรุงคอนสแตนติโนเปิลอันยิ่งใหญ่นั่นเอง จึงเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่นักท่องเที่ยวหากใครไม่ได้ไปเยือน ก็เหมือนไม่ถึงตุรกี และความแปลกของอิสตันบูลหนึ่งเดียวในโลก คือการเป็นเมืองสำคัญเพียงเมืองเดียวในโลก ที่ตั้งอยู่ใน 2 ทวีป คือ ทวีปยุโรป ฝั่ง Thrace ของบอสฟอรัส และทวีปเอเชีย ฝั่งอนาโตเลีย การได้ไปเยือนเหมือนการอยู่คาบเกี่ยวระหว่าง 2 อารยธรรมที่มีคุณค่า ดั่งอัญมณีของโลก

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วันรัฐธรรมนูญ




วันที่ 10 ธันวาคมเป็นวันรัฐธรรมนูญ ซึ่งจัดให้มีขึ้นทุก ๆ ปี เพื่อเป็นการระลึกถึงการอุบัติขึ้นของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

ก่อนหน้านี้ประเทศไทยมีการปกครองแบบระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ การเปลี่ยนแปลงนี้นำโดยกลุ่มคนรุ่นหนุ่มสาวที่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศและได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดด้านระบอบประชาธิปไตยตะวันตก กลุ่มนี้มีชื่อว่า “คณะราษฎร์” นำโดยหลวงประดิษฐมนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการนองเลือด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้มีการยกเลิกการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และทรงมอบรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรกของประเทศให้กับประชาชน ที่จริงแล้วพระองค์ทรงเตรียมการที่จะทรงมอบอำนาจของพระองค์ให้อาณาประชาราษฎร์ก่อนที่จะมีการเรียกร้องเสียด้วยซ้ำไป

อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูยไทยทุกฉบับต่างก็ยอมรับพระมหากษัตริย์ว่าทรงดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของประเทศ ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก และทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ อำนาจอธิปไตยของพระองค์มาจากปวงชนชาวไทย และพระองค์ทรงใช้อำนาจ 3 ทางคือ อำนาจนิติบัญญัติโดยผ่านรัฐสภา อำนาจบริหารโดยผ่านคณะรัฐมนตรี และอำนาจตุลาการโดยผ่านศาลยุติธรรม

ถึงแม้ว่า การปฏิวัติในปี พ.ศ. 2475 จะนำมาซึ่งการสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันเป็นระบอบเก่าแก่มาหลายศตวรรษก็ตาม ความเคารพเลื่อมใสศรัทธาของชาวไทยที่มีต่อองค์พระมหากษัตริย์ก็ไม่มีวันเสื่อมคลายด้วยการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น

ที่เห็นได้ชัดก็คือ พระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ไทยมีให้เห็นอยู่ทั่วพระราชอาณาจักรในวันรัฐธรรมนูญ จะมีการจัดพิธีฉลองวันนี้กันทั่วประเทศโดยสถานที่ราชการ อาคารเอกชน และตึกสูง ๆ จะประดับด้วยธงชาติและธงประดับพร้อมทั้งแสงไฟสว่างไสว ชาวไทยต่างพร้อมใจกันแสดงความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณเปิดโอกาสให้ปวงชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารประเทศชาติ

Constitution Day :))


December 10 marks the Constitution Day which is held annually to commemorate the advent of the regime of Constitutional Monarchy in Thailand.

Previously, the government of Thailand was an absolute monarchy until June 24, 1932 there was a transition to constitutional monarchy led by a group of young intellectuals educated abroad and inspired by the concept of western democratic procedures. The group which was known as “People’s Party or Khana Rasdr” was led by Luang Pradit Manudharm (Pridi Panomyong). To avoid bloodshed, King Rama VII graciously agreed to abolish absolute monarchy and handed over the country’s first “Permanent” Constitution. In fact, King Rama VII (King Prajadhipok) had prepared, even before being asked, to hand over his powers to the people.

All Thai constitutions, however, recognise the King as Head of State, Head of the Armed Forces, Upholder of All Religions and sacred and inviolable in his person. His Majesty the King’s sovereign power emanates from the people and is exercised in three ways, namely ; legislative power through the National Assembly, executive power through the Cabinet and Judicial power through the law courts.

Even though the Revolution of 1932 brought an end to the centuries old absolute monarchy, the reverence of the Thai people towards their kings has not been diminished by this change.

Portraits of Thai kings are prominently displayed throughout the kingdom. On Constitution Day, the entire nation is greeted with festivity. The government offices, private buildings and most highrises are decorated with national flags and bunting and are brightly illuminated. On this day, all Thai citizens jointly express their gratitude to the king who graciously granted them an opportunity to take part in governing the country.


วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554

The King's Birthday

His Majesty King Bhumibol Adulyadej the Great was born on December 5, 1927 to Prince Mahidol of Songkhla and Mom Sangwan. His Majesty is the ninth King of the Chakri Dynasty and the longest-reigning monarch in the history of Thailand.

His Majesty the King is well recognised as the heart and soul of the Thai nation. He is held in the high esteem not only by his own subjects, but His Majesty also commands enormous respect from people in all parts of the world.

Everywhere he goes, people turn up to greet him in hundreds of thousands. The manner in which His Majesty conducts himself, giving his whole heart and attention to the people, immediately linked the living symbol of the nation to the people in a bond of matual understanding and personal affection.

The main concern of His Majesty is for the uplifting of the general well-being of the people. Evidence of this can be drawn from His Majesty the King's ceaseless efforts to visit his subjects in the rural areas. The aim of his Majesty's visits is to learn at first hand about the needs of his subjects.

To obtain such information, His Majesty has to travel many thousands of kilometers throughout the kingdom and, whenever possible, suggests ways to overcome the difficulties. These visits have led to the establishment of over 1,000 Royal and Royally-initiated projects. They are implemented by the relevant agencies of the government after having been given advice and assistance by His Majesty.

His Majesty is the first member of the Royal Family to be granted a patent for an invention. The registered patent is for one of His Majesty's "Chai Pattana Machines" - the Chai Pattana Aerator Model RX 2. The patent rights call it an "apparatus for water treatment", which is used for agricultural and industrial purposes and can be seen operating in many polluted waterways.

Buddhism is the national religion of Thailand and HisMajesty can stantly shows himself to be a convinced and dedicated disciple of the Lord Buddha. To follow the tradition of young Buddhist men to go into the monastery for a period of time, His Majesty entered the Buddhist monkhood at Wat Bovornnives on 22 October 1956. The Constitution of Thailand, however, does not prescribe the King to be only the Defender of the Buddhist Faith, but also to be the upholder of all Religions. He gives equal attention to the protection of al forms of worship and also to the problems of other religious communities inThailand.

His Majesty King Bhumibol Adulyadej the Great came to the throne on June 9, 1946. The meaning of his name is "Strength of the Land, incomparable Power". Since that date he has reigned over the Kingdom of Thailand as a constitutional monarch. At the Coronation Ceremony on May 5, 1950, His Majesty the King pronounced the traditional Oath of Accession which stated: "We will riegn with righteousness for the benefit and happiness of the Siamese people". His Majesty's actions since then has thoroughly reflected those words and have always been directed towards increasing the welfare and prosperity of the Thai nation.

On his birthday, which is observed as a National Holiday, all his subjects rejoice in demonstrating once more their affection and loyalty to him. Religious rites are held, houses and buildings are decorated with flags, lights and his portraits. The whole nation prays to the Holy Triple Gem and all the sacred things in the universe to bless His Majesty with good health and happiness and the strength to carry on his onerous task.

This story comes from "Essays on Thailand" by Thanapol Chadchaidee. It is used here with his permission. The book contains 60 essays about Thailand written in Thai and English.

วันพ่อ :)




1. กราบแทบเท้า กอดพ่อบอกพ่อว่า "เรารักพ่อมากที่สุดในโลก เราภูมิใจและดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกพ่อ"

2. ส่งการ์ดอวยพรวันพ่อ / โทรศัพท์หรือส่งของขวัญพิเศษไปให้พ่อ หากอยู่ห่างไกล และไม่สะดวกไปหาด้วยตนเอง

3. หากอยู่คนละบ้านและมีครอบครัวใหม่แล้ว ควรพาลูก - ภรรยาไปกราบคารวะพ่อที่บ้านพร้อมหาของขวัญ เช่น เสื้อผ้า ดอกไม้ ของกินของใช้ ไปให้พ่อ หรือพาพ่อออกไปหาอาหารพิเศษรับประทาน

4. พาพ่อไปนวดตัว นวดเท้า เพื่อสุขภาพ หรือพาไปเข้าคอร์สสุขภาพในต่างจังหวัดที่อากาศดีๆ

5. พาไปทำบุญทำทานที่วัดหรือให้ไปทัวร์มหากุศลต่างๆ เช่น ทัวร์ 9 วัดมงคล เป็นต้น

6. พาไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือต่างประเทศหากสุขภาพพ่อแข็งแรงพอและเป็นสถานที่ที่พ่ออยากไป

7. ซื้อคอมพิวเตอร์ให้พ่อ พร้อมสอนให้ใช้เพื่อความเพลิดเพลิน เช่น ส่งเมล์โต้ตอบกับหลานๆ หรือเพื่อนๆ ทางอินเทอร์เน็ต เล่นเกม หรือเปิดหาความรู้ต่าง ๆ

8. ซื้อหนังสือประเภทที่พ่อชอบอ่านให้ พร้อมตัดแว่นตาให้ใหม่หรือพาไปเลสิกสายตา

9. สอบถามหรือสืบถามความปรารถนาของพ่อว่าอะไรที่พ่ออยากทำ และยังไม่ได้ทำ แล้วพยายามจัดหาให้ เช่น อยากเรียนดนตรี แต่ยังไม่เคยมีโอกาสในสมัยเด็กๆ หรือหนุ่มๆ ก็พาพ่อไปสมัครเรียนและให้กำลังใจ เป็นต้น

10. หากพ่อถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็อย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พ่อ หรือไปเลี้ยงคนชรา พระภิกษุป่วย เพื่อส่งผลบุญให้แก่พ่อ


Pork Mushroom Parcels - Chow Mei ( Khanom Jeap-ขนมจีบ)

Pork Mushroom Parcels - Chow Mei ( Khanom Jeap-ขมจีบ)

Another Thai variant of a Chinese dish. These are pork mushroom and carrot parcels, we called them 'Dim Sum' but our Chinese friends say the correct name for this type of starter is 'Chow Mei'. Served as a starter or a snack, each parcel is approximately 3cms across.

Ingredient for Pastry

200 gms. Wheat Flour ( Enough for 40 )
2 Tablespoons Oil
1 Teaspoon Salt
1 Teaspoon Sugar
2 Eggs

Ingredient for Filling

100 gms Pork Mince
3 Shitake Mushrooms
2 Carrots
1 Spring Onion
30 gms Coriander Leaves
1 Egg
2 Teaspoons Salt
2 Tablespoons Oyster Sauce
4 Garlic Cloves
2 Tablespoon Cassava Starch (Or corn starch)

Preparation for Pastry
1. Put the salt, sugar, and flour into a bowl and mix it.
2. Beat the eggs together and mix into the flour.
3. Knead it until it forms a dough.
4. Set the dough aside for 20 minutes, it should be covered with a damp towel to prevent a skin forming.

Preparation for Filling
1. Soak the shitake mushroom for 5-10 minutes.
2. Chop shitake mushroom, carrots, spring onions, coriander leaves, and garlic,into small pieces. It is easier to blend it in a food processor.
3. Add the blended mix into the pork mince and add the egg, salt, oyster sauce and cassava starch, and mix well.

Assembly
1. Cut the dough into very small balls.
2. On a slightly oiled or floured surface, roll the dough into small circles (approximately 6cms diameter).
3. Spread the filling evenly over the dough.
4. Lift up the edges into of the dought to form the sides - this will squeeze the filling into the centre.
5. For best results pleat the edges of the pastry to form pleated sides of the parcels.

Cooking and Storing
Add this point you can freeze them on a floured tray, or cook them straight away.
To cook them, place them in a Chinese steamer and steam for 10 minutes.

Serve With
Mint
Coriander
Lettuce
Sour sauce

Suggestions
If you like hot spicy food, you can insert a piece of red or green chilli into the centre of the parcel before eating it.
Another recommended way to serve them, is drissled with fried garlic and bacon in its oil, this is shown in the photograph.


วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับแก้แค้นผี

>> อย่านอนเตียงที่มี ใต้เตียงโล่ง ถ้ากลัวมากๆก็ให้ไปนอนใต้เตียงแทน ปล่อยผีนอนบนเตียงไป
>> ถ้ากลัวผีช่องแอร์ให้ เปิดหน้าต่างนอน ให้กระสือมาหลอกแทน
>> ถ้ากลัวไฟปิดเปิดเองได้ ให้ถอดหลอดไฟออกทุกดวง เช่นเดียวกับก๊อกน้ำเปิดเอง ก็ให้เปิดมันทิ้งไว้
>> ถ้าอยู่ดีๆได้กลิ่นธูป ให้คว้าการบูนมาดม
>> ถ้าอยู่ดีๆได้ยินเสียงเพลงไทย ให้เอา ipod มาเปิด hip hop ฟัง
>> ถ้าอยู่ดีๆ ได้ยินเสียงเด็กหรือผู้หญิงร้องไห้ ให้ลุกขึ้นมาปลอบใจผี
>> ถ้าเพื่อนโดนผีเข้า ให้เมินมันแล้วไปนอน พอไม่มีใครสนใจผีก็จะเซ็งออกไปเอง
>> ถ้ามีเงาอะไรผ่าน หน้าต่างไป ให้ไปยืนแถวๆหน้าต่าง ทำเงาผ่านย้อนไปบ้าง
>> ถ้ากลัวจะมีใครมายืนอยู่ ปลายเตียง ก็ให้นอนเอาหัวมาไว้ปลายเตียง (ดูซิจะไปยืนไหน)
>> ถ้าผีมาขอส่วนบุญ ให้ถามว่าสามารถโอนเข้าบัญชีได้ที่วัดไหน สาขาอะไร รับบัตรเครดิตหรือเปล่า?
>> ถ้าผีจะมาให้หวย ให้บอกไปว่า รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มไหมคะ?โอกาสหน้ามาใหม่นะ คะ
>> ถ้าผีจะตามกลับไปอยู่ที่บ้าน บอกให้ผีไปทำเรื่องย้ายชื่อเข้าทะเบียนบ้านในฐานะผู้อยู่อาศัยให้ถูกต้องตาม กฏหมายเสียก่อน
>> ถ้าไปแถวพัทยา อย่าลืมเอา Dict ไปด้วย เพราะอาจเจอผีฝรั่ง
>> ถ้าเปิดทีวีแล้วเจอภาพบ่อน้ำ ให้เอาทีวีไปวางบนขอบระเบียง (ในกรณีที่เป็นชั้น 3 ขึ้นไป) ผีที่คลานออกมาจากทีวีจะตกระเบียงตายเอง
>> ถ้าอยู่ดีๆน้ำ ฝักบัวที่อาบกลายเป็นเลือด ให้เอาถุงมารอง แล้วนำเลือดไปขายตามโรงพยาบาล
>> ถ้าอยู่ดีๆภาพหน้าตัว เองในกระจกเป็นหน้าผี อย่าตกใจ ให้รีบหาสีเมจิกมา 1แท่งแล้วเติมหนวดลงไปในกระจก
>> ถ้าไม่อยากเสี่ยงกับผี ในตู้เสื้อผ้า เขียนป้ายแปะไว้ว่า “ที่หมานอน”
>> กลัว ผีนั่งทับตัวกลางดึก ให้นอนคว่ำหน้า (ถ้าคิดว่าจะหายใจไม่ออก ให้ใส่ถังสกูบ้านอน) หลังจากนี้ต่อให้ผีมานั่งทับก็จะไม่อึดอัด แถมยังสบายตัวคล้ายนวดกดจุด
>> ถ้ากลัวผีในลิฟท์ ให้ยกของหนักๆไปด้วย ผีจะตามมาด้วยไม่ได้เพราะน้ำหนักจะเกิน
>> ถ้าถ่ายรูปแล้วติดผี ให้นำหน้าผีไปตัดต่อกับภาพโป๊ ผีจะอายไม่กล้ามาหลอกอีก
>> ถ้าคุณเริ่มเอะใจ ว่าผู้หญิงที่โบกรถมากับคุณจะเป็นผีหรือเปล่า ให้เรียกเก็บค่าโดยสารก่อนที่เธอจะหายไป
>> ถ้าคุณเห็นภาพผู้หญิง อยู่บนกระจกรถ แวะเข้าปั๊ม แล้วเรียกเด็กมาเช็ดกระจก
>> ถ้าอยู่ดีๆคุณเห็นคนนั่ง มาตรงเบาะหลังบนกระจกมองหลัง ถามไปว่า “สรุปไปพัฒพงษ์” ใช่ไหมครับ?
>> ถ้าคุณพบผีเปรตในวันฝน ฟ้าคะนอง ให้ก้มตัวต่ำ ฟ้าจะผ่าโดนผีก่อน
>> ถ้าคุณทำตามนี้ได้หมดผีจะไม่มาหลอกคุณเลยเพราะเชื่อได้เลย ว่าคุณบ้ากว่าผีอีก!!

คำเตือนและวิธีใช้ (แบบฮาๆ)


1. ข้างกล่องยาจุดกันยุงแบบขดยี่ห้อนึงเขียนไว้ว่า
“วัตถุมีพิษ ห้ามรับประทาน” ….ผ่างงงงงงง !!!
(ใครอยากฆ่าตัวตายด้วยการกินยากันยุงแบบขด ก็ตามใจมันเถอะ)

2. บนถุงขนมขบเคี้ยวยี่ห้อนึง
“คุณมีสิทธิ์ได้รับรางวัลโดยไม่จำเป็นต้องซื้อโปรดอ่านรายละเอียดในซอง”
(อ้าว..)

3. แปะอยู่บนสบู่ยี่ห้อดัง
“วิธีใช้ : เหมือนสบู่ทั่วไป”
(ขอบใจนะ)

4. บนกล่องอาหารแช่แข็ง
“โปรดอุ่นก่อนรับประทาน” …
(ถ้าคนเปิดมันโง่นักก็ให้มันแ-กเข้าไปเถอะ)

5. บนที่เป่าผมยี่ห้อนึงเขียนว่า
“ห้ามใช้ขณะหลับ” ..(จะบ้าตาย)

6. พิมพ์อยู่ด้านใต้ของกล่องเค้กที่ขายในห้างดัง
“คำเตือน : ห้ามคว่ำกล่อง” ????????

7. บนกล่องซาลาเปาในร้านสะดวกซื้อ
“คำเตือน : อาหารจะร้อนเมื่อนำเข้าไมโครเวฟ”
(มันคงเย็นหรอกน๊ะ)

8. บนกล่องเตารีด
“ห้ามใช้รีดผ้าขณะที่สวมใส่” ... - -'

9. บนกล่องยาแก้หวัดเด็ก
“ห้ามขับรถ หรือคุมเครื่องจักรขณะรับประทานยานี้ ... o_O!!

10. บนกล่องยานอนหลับ
“คำเตือน : อาจทำให้ง่วงเมื่อใช้ยานี้”
(ทำไมต้องบอกกกกกก...ที่กินก็เพราะกรูอยากง่วงงงงง)

11. บนกล่องไฟประดับฉลองปีใหม่
“ใช้สำหรับภายในหรือภายนอกอาคาร” (ไม่บอกไม่รู้น๊ะเนี่ย -_-')

12. บนกล่องถั่วกระป๋องยี่ห้อดัง
“วิธีใช้ : เปิดกระป๋องแล้วรับประทานถั่ว” (ขอบคุณที่บอก (_ _'))

13. บนชุดซุปเปอร์แมนของเด็ก
“คำเตือน : คนสวมใส่เสื้อผ้านี้ไม่สามารถทำให้บินได้”
(เพิ่งรู้นะเนี่ย -"-!!)


กินมันฝรั่งทอดเพียงวันละถุงเท่ากับซดน้ำมันพืชปีละ5ลิตร




มูลนิธิโรคหัวใจอังกฤษเปิดเผยความจริงอันน่าตกใจให้ทราบกัีนว่า ผู้ที่กินของขบเคี้ยวเป็นมันฝรั่งทอดกรอบวันละ1ถุงทุกวัน จะเท่ากับปีหนึี่งซดน้ำมันพืชเข้าไปมากถึง5ลิตร

ลูกเล็กเด็กแดงตามชาติตะวันตกล้วนแต่กินมันฝรั่งทอดกรอบเป็นของขบเคี้ยว ไม่ต่ำกว่าวันละถุงกันทุกวัน นอกจากมันจะดูดน้ำมันแล้ว ยังมีเกลือ น้ำตาล และไขมันอยู่ด้วย
ศาสตราจารย์ปีเตอร์ ไวส์เบิร์ก ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ของมูลนิธิสรุปว่า การกินของที่มีไขมันอยู่มาก แต่ไม่ค่อยมีคุณค่าทางอาหาร นับเป็นภัยแก่สุขภาพเด็กในระยะยาว "การกินขนมที่ไม่มีประโยชน์ นับเป็นนิสัยที่น่าห่วง เพราะรังแต่จะทำให้เด็กอ้วนและเป็นโรคเบาหวานแบบที่สองขึ้นในวันหน้าเท่านั้น"

วันต้านเอดส์โลก วันเอดส์โลก (1 ธันวาคม)


ความห่วงใย ความใส่ใจ :)


องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดเอา วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปีเป็น“วันโลกต้านเอดส์” (WORLD AIDS DAY) และในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2532 ถือว่า เป็นวันโลกต้านเอดส์ครั้งแรก ในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2532 ถือว่าเป็นวันโลกต้านเอดส์ครั้งแรก มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์หลายรูปแบบพร้อมกันทั่วโลก

โดยตั้งความหวังไว้ว่า
1.จะพยายามหยุดยั้งโรคเอดส์
2.ให้ความเห็นใจ ห่วงใย ต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์
3.ให้ทุก ๆ คนได้รู้เรื่องโรคเอดส์

จากการที่องค์การอนามัยโลก ได้ให้ความสำคัญของโรคเอดส์ดังกล่าว ย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า โรคเอดส์เป็นโรคที่มีความรุนแรง มีผลกระทบต่อตนเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคมและต่อประเทศชาติ ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมากมาย

โรคเอดส์ (Acquired Immune Deficiency Syndrome) AIDS
A = Acquired หมายถึง ภาวะที่เกิดขึ้นภายหลังไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด หรือไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
I = Immune หมายถึง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
D = Deficiency หมายถึง ความบกพร่อง ความเสื่อม
S = Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการของโรค ซึ่งมีอาการหลายลักษณะตามระบบต่าง ของร่างกา

How to make tom yum kung :)


Tom yam kung_01


Ingredients :
  • 1 pint of water
  • 10 large shrimps
  • 1 cup of mushrooms
  • 1 stalk of lemon grass chopped
  • 2 kaffir-lime leaves
  • 1 table spoon of chopped coriander leaves
  • 1/2 teaspoon of ground chilli (the amount can be adjusted according to one's preference)
  • 1/2 teaspoon of salt
  • 2 tablespoons of lime juice
  • 2 tablespoons of fish sauce


    How to cook :
    1. Pour the water into a pot, add the lemon grass and kaffir-lime leaves and heat it.
    2. Add the shrimps when the water is boiling and cover the pot.
    3. Wait for 3 minutes before adding the mushrooms and salt.
    4. Leave it to simmer for a few minutes. Then remove from the heat.
    5. Season with fish sauce, lime juice and ground chilli.
    6. Put the chopped coriander leaves in the pot before serving.