วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เทศกาลกินเจ : )))

เทศกาลกินเจ (จีน: 九皇爺; อังกฤษ: Nine Emperor Gods Festival) หรือบางแห่งเรียกว่า ประเพณีถือศีลกินผัก เป็นประเพณีแบบลัทธิเต๋ารวม 9 วัน กำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือ เริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนของทุกปี มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีนมานานแล้ว โดยมีตำนานเล่าขานกันหลายตำนาน ปัจจุบัน เทศกาลกินเจจัดขึ้นในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ตลอดจนหมู่เกาะรีออในอินโดนีเซีย ซึ่งการกินเจในเดือน 9 นี้ เชื่อกันว่าน่าจะเกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 2170 ตรงกับสมัยอาณาจักรอยุธยา




วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สายตาสั้นนั่งหน้าจอนานระวังต้อหิน


ดร. มาซากิ ตาเตมิชิ อาจารย์โรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัยโตโฮของญี่ปุ่น ได้นำเสนอว่า นอกจากการสูบบุหรี่ และโรคความดันโลหิตสูงแล้ว การนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นโรคสายตาสั้นได้เหมือนกัน สำหรับคนที่มีสายตาสั้นอยู่แล้ว ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของประสาทตาเพิ่มมากขึ้น แล้วอาจจะส่งผลให้เป็นโรคต้อหินได้


คณะวิจัยของ ดร. มาซากิ ตาเตมิชิ ได้ทดลองทำแบบสอบถามกับพนักงานที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ พบผู้มีปัญหาในเรื่องสายตาอยู่ 5% และหลังจากทำการตรวจสายตาอย่างละเอียดพบว่า มีผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นต้อหิน
อยู่ 1 ใน 3 จึงสันนิษฐานได้ว่าผู้ที่มีสายตาสั้นแล้วต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ เป็นเวลาติดต่อกัน อาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อหินได้

ต้อหินเกิดได้จากหลายๆ สาเหตุ เช่น
1. การใช้ยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ติดต่อกันนานๆ จะทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้นและเกิดเป็นต้อหินได้
2. อุบัติเหตุต่อตา เช่น ตีแบดมินตันหรือเทนนิส แล้วถูกลูกแบดมินตันหรือลูกเทนนิสกระแทกใส่ตา ทำให้เกิดแผลภายในลูกตา ทำให้น้ำภายในลูกตาระบายออกไม่ได้ ก่อให้เกิดความดันสูงขึ้นและเกิดต้อหินได้
3. ม่านตาอักเสบ ช่วงที่มีการอักเสบ จะมีปฏิกิริยาภายในน้ำหน้าเลนส์ตา ส่งผลให้โปรตีนหรือเม็ดเลือดขาวลอยไปอุดรูระบายของน้ำภายในลูกตา ทำให้ความดันตาสูงขึ้นได้
4. สาเหตุอื่นๆ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ที่ไม่เคยได้รับการตรวจจอประสาทตาจากจักษุแพทย์ จนกระทั่งเกิดเบาหวานขึ้นจอตา


การป้องกันและสังเกตตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงต้อหิน
ระยะแรกๆ ต้อหินจะไม่มีอาการใดๆเลย บางรายอาจมีอาการปวดตาบางครั้ง ซึ่งมีสาเหตุหลายอย่าง เช่น ใช้คอมพิวเตอร์นานๆ และส่วนใหญ่แพทย์มักวินิจฉัยต้อหินเมื่อมีอาการมากแล้ว

ดังนั้น ใครก็ตามที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปจำเป็นต้องไปตรวจตากับจักษุแพทย์ประมาณปีละ 1 ครั้ง
สำหรับคนที่เป็นต้อหินระยะแรกอาจจะมีอาการปวดตาข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้ หรือมองเห็นแสงสีรุ้งรอบดวงไฟ

หน้าหนาวแล้ว มารู้เรื่องโรคกันเถอะ ^^

10 โรคร้ายที่แฝงมากับลมหนาว

ในปัจจุบันคนเราต้องเผชิญกับผลกระทบหลายอย่างอันเกิดจากภาวะโลกร้อน ที่ทำให้สภาพอากาศทั่วโลกมีความแปรปรวน บางพื้นที่อาจมีอากาศหนาวมากขึ้นทั้งที่อยู่ในเขตร้อน บางพื้นที่กลับมีอากาศร้อนขึ้นทั้งที่อยู่ในเขตหนาว หรือบางพื้นที่ก็เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับกันไป ซึ่งสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้เอง ทำให้ร่างกายของเราปรับตัวตามไม่ทัน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในทุกเพศทุกวัย

อาจกล่าวได้ว่าเสื้อผ้ากันหนาวอาจจะขายดีในช่วงนี้ ในพื้นที่ทางภาคเหนืออาจจะพอได้ใช้ป้องกันหนาว แต่ในบางพื้นที่ก็แทบจะไม่ได้ใช้เลย ผลกระทบจากอากาศที่หนาวเย็นมากขึ้น ทำให้ระดับอุณหภูมิมีแนวโน้มลดต่ำลงเรื่อย ๆ และเหมือนว่าจะยาวนานกว่าทุก ๆ ปี บางคนอาจจะไม่ค่อยรู้สึกกับการเปลี่ยนแปลงนี้ เพราะคิดว่าเดี๋ยวคงจะหนาวไม่นาน และคิดว่าร่างกายตนเองแข็งแรงดีอยู่แล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ความเชื่อที่ว่านี้ต้องระวัง!! จากการติดตามสถานการณ์ในฤดูหนาวที่ผ่านมาโดยกระทรวงสาธารณสุขนั้น พบว่า ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2550 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2551 มีผู้ป่วยจากโรคฤดูหนาวรวมกันทั่วประเทศกว่า 515,580 ราย พบว่ามีการเสียชีวิต 315 ราย โดยพบว่าป่วยเป็นโรคอุจจาระร่วงมากที่สุดคือ 442,187 ราย รองลงมาเป็นโรคปอดบวม-ปอดอักเสบ และโรคอีสุกอีใส นอกจากนี้ก็ยังพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ โรคหัด และหัดเยอรมันด้วย ดังนั้นเพื่อให้รู้ทันโรคร้ายที่อาจแฝงมาพร้อมกับอากาศที่หนาวเย็น จึงควรรู้ไว้ว่ามีโรคอะไรบ้างที่ต้องเตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้า

1. โรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย สามารถติดต่อกันได้ทางการหายใจ ไอหรือ จามรดกัน เชื้อมักแพร่กระจายในสถานที่แออัดไม่มีอากาศถ่ายเท เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า ตลาดสด โดยอาการจะเริ่มต้นจากการมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บหรือแสบคอ บางคนอาจหนาวสั่น แต่ถ้าเป็นการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ก็มักจะมีอาการรุนแรงกว่าการติดหวัดธรรมดา คือ ไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะมาก ปวดตามกล้ามเนื้อ ตามกระดูก คลื่นไส้ กินได้น้อยลง ร่วมกับอาจมีภาวะขาดน้ำหากมีอาการอาเจียนร่วมด้วย และควรระวังโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมา เช่น ปอดบวม หลอดลมอักเสบ คออักเสบ ในเด็กเล็กและผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงมากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ

2. โรคหลอดลมอักเสบ เป็นโรคที่อาจเกิดตามหลังไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส จะมีอาการไอและไอมากตอนกลางคืน โดยระยะแรกจะไอแห้ง ๆ มีเสียงแหบและเจ็บหน้าอกมาก เสมหะมีสีเหลืองหรือเขียว มีไข้ อ่อนเพลีย ในเด็กอาจไอมากจนอาเจียน บางรายมีอาการคล้ายหอบหืดจากภาวะหลอดลมหดเกร็งตัว โดยปกติโรคนี้สามารถหายได้เองภายใน 1-3 สัปดาห์ แต่บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ก็อาจลุกลามถึงขั้นปอดอักเสบได้ การรักษาเบื้องต้น คือการพักผ่อนให้มาก ควรดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ เพื่อช่วยให้เสมหะระบายออกได้ง่ายขึ้น หลีกเลี่ยงดื่มน้ำเย็น งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงอยู่ในที่ ที่มีอากาศเสียหรือฝุ่นละอองมาก ๆ

3. โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ เป็นโรคที่อาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้หวัดหรือติดจากเชื้อโดยตรงได้ ปอดบวมมักพบในเด็ก สามารถติดต่อได้ทางการหายใจ น้ำมูก น้ำลาย และใช้ของร่วมกัน มีระยะฟักตัวของโรค 1-3 วัน และอาจนานถึง 1 สัปดาห์ในบางราย โรคปอดบวมเป็นโรคที่ควรระวังเป็นอย่างมาก เพราะในปีที่ผ่านมาพบว่าโรคนี้เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของกลุ่มโรคติดเชื้อในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กแรกเกิดถึงขวบปีแรก อาการจะเกิดตามหลังโรคหวัดประมาณ 2-3 วัน ดังนั้นหากพบว่าสงสัยหรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับอาการโดยเฉพาะในเด็กเล็กให้ควรนำมาปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ

4. โรคหัด พบมากในเด็กอายุตั้งแต่ 1-6 ขวบ ติดต่อได้จากการไอ จามรดกัน หรือได้รับละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย เข้าไป โรคหัดมักเกิดในช่วงฤดูหนาวยาวต่อช่วงฤดูร้อน ปัจจุบันมีวัคซีนสำหรับฉีดป้องกัน อาการของโรคหัดจะเริ่มจากมีไข้ น้ำมูก ไหล ไอ ตาแดง อาการจะรุนแรงมากขึ้น จนมีอาการปวดเมื่อยตัว ถ่ายเหลว ผื่นของไวรัสหัดจะขึ้นราววันที่ 4 หลังรับเชื้อ หลังจากนั้นไข้จะค่อย ๆ ลด เมื่อผื่นกระจายทั่วตัว ระหว่างนั้นต้องระวังการเสียชีวิตจากภาวะโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ อุจจาระร่วง สมองอักเสบ และภาวะทุพ โภชนาการ

5. โรคหัดเยอรมัน เชื้อไวรัสหัดเยอรมัน ทำให้มีไข้ต่ำจนถึงไข้สูง มีผื่นแดงคล้ายหัด แต่ลักษณะผื่นจะใหญ่และเป็นกลุ่ม ๆ กระจายตัวห่างกว่า ในเด็กเล็กจะมีอาการไม่รุนแรงเท่าในผู้ใหญ่ โดยเฉลี่ยจะมีอาการประมาณ 1-5 วัน มีไข้ ผื่นแดงตามตัว อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร สิ่งสำคัญคือ ต้องระมัดระวังไม่ให้ติดเชื้อในระหว่างการตั้งครรภ์

6. โรคอีสุกอีใส พบว่ามักเกิดในเด็ก แต่พบได้น้อยในผู้ใหญ่ อาการแรกเริ่มจะมีไข้ต่ำ ๆ เหมือนไข้หวัด หลังจากนั้นจะมีผื่นแดง ตุ่มนูนขึ้น และจะเปลี่ยนเป็นตุ่มพองใสประมาณ 2-3 วันนับตั้งแต่เริ่มมีไข้ หลังจากนั้นตุ่มพองใสก็จะกลายเป็นตุ่มหนอง แล้วค่อย ๆ เริ่มแห้งตกสะเก็ด ทั้งนี้ ผื่นอาจขึ้นได้ในคอ ตา และปาก ทำให้กินอาหารได้น้อย เกิดอาการขาดน้ำ โดยทั่วไปหากได้รับการดูแลที่เหมาะสม โรคจะสามารถหายได้โดยตัวเองโดยไม่เกิดโรคแทรกซ้อน

7. โรคอุจจาระร่วง สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสหลายชนิด และมักพบผู้ป่วยได้มากในหน้าหนาว สามารถติดต่อได้จากการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อนเข้าไป นอกจากนี้ยังติดต่อทางน้ำลาย น้ำมูกได้เช่นกัน ลักษณะอาการจะถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเหลวบ่อยครั้ง แม้อาการไม่รุนแรง แต่อาจมีอาการขาดน้ำรุนแรงได้ในบางราย ภาวการณ์การติดเชื้อมักพบได้ในชุมชน ศูนย์ฝากเลี้ยงเด็ก หรือสถานที่ที่มีเด็กอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากๆ ดังนั้น การออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารปรุงสุก ดื่มน้ำสะอาด ก็จะเป็นการป้องกันโรคอุจจาระร่วงได้

8. โรคตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในหน้าหนาวเช่นกัน สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสคนละชนิดกับโรคตาแดงที่เกิดขึ้นในหน้าร้อน การสัมผัสกับเชื้อมักเกิดจากมือที่สกปรก ไปหยิบจับ หรือสัมผัสกับขี้ตา น้ำตาของผู้ที่เป็นโรคแล้วมาป้ายตา ตัวเอง โรคตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบสามารถระบาดได้ง่ายโดยเฉพาะในเด็กนักเรียน ส่วนการป้องกันให้หมั่นล้างมือให้สะอาด ไม่เอามือขยี้ตา ไม่คลุกคลีกับคนเป็นโรค เมื่อเป็นโรคควรหยุดงานหรือหยุดเรียน เพื่อไม่ไห้ติดต่อไปยังผู้อื่น

9. โรคผิวหนังแห้งอักเสบ เมื่อผิวกระทบอากาศเย็น ทำให้มีความชื้นสัมพัทธ์น้อยและแห้ง การสูญเสียน้ำออกจากผิวหนังก็จะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผิวหนังเกิดปัญหาแห้งหยาบ เป็นขุย แตก ปัญหานี้ถือว่าเป็นปัญหาที่ก่อความรำคาญ เพราะเมื่อผิวแห้งมากจะรู้สึกคัน ยิ่งอากาศหนาวมาก ๆ จะยิ่งแสบร้อนและคัน หากดูแลไม่ดีอาจเกิดแผลอักเสบจากการเกาจนเลือดออก และมีสิ่งสกปรกเข้าแผลจนเกิดการติดเชื้ออักเสบขึ้นได้ การป้องกัน คือการรักษาความชุ่มชื้นจากภายในและภายนอกร่วมกัน โดยการดื่มน้ำและผลไม้ให้มากขึ้น เปลี่ยนรูปแบบและวิธีการอาบน้ำ โดยลดอุณหภูมิของน้ำลงไม่ควรอาบน้ำร้อนเกิน 34 องศาเซลเซียส ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์หลังอาบน้ำ หากมีผิวแห้งมาก ๆ แนะนำให้ใช้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นได้นาน และหากผิวหนังแห้งอักเสบรุนแรงหรือคันมาก ๆ ให้รีบไปพบแพทย์

10. โรคผิวหนัง เช่น เชื้อรา กลาก เกลื้อน การแพ้ทางผิวหนัง จากเสื้อกันหนาวหรือเครื่องนุ่งห่มมือสอง ผู้ที่นิยมชมชอบเสื้อผ้ามือสองต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะแม้ว่าราคาของเสื้อมือสองจะค่อนข้างถูกกว่า แต่ไม่ทราบแน่ชัดถึงที่มา จึงมั่นใจไม่ได้ว่ามีความสะอาดหรือไม่ ทั้งยังอาจนำพาโรคมาสู่ผิวหนังได้อีกด้วย ดังนั้น จะต้องสืบหาที่มาของเสื้อผ้าเหล่านั้นเสียก่อน หรือต้องทำความสะอาดให้ถูกวิธี เช่น การซักล้าง การต้มฆ่าเชื้อ การตรวจสอบรอยด่างดำ รอยคราบสารคัดหลั่ง รวมไปถึงกลิ่นอับชื้นที่ติดอยู่ เพราะนอกจากเชื้อราแล้ว โรคตับอักเสบหรือไวรัส บางชนิด อาจส่งผลร้ายต่อผิวหนังได้ ดังนั้น ควรมีการต้มให้เดือด ซักล้างให้สะอาด ฆ่าเชื้อก่อนและนำไปตากแดดให้แห้งสนิท ก็จะช่วยสร้างความแน่ใจให้กับผิวหนัง

การเตรียมตัวพร้อมรับมือกับ 10 โรคร้าย ที่อาจแฝงมากับหน้าหนาวในปีนี้ จึงควรรู้จักกับโรคต่าง ๆ เอาไว้ให้รู้จักวิธีการป้องกันและดูแลรักษาในเบื้องต้น หมั่นแบ่งเวลาให้มีการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม รับประทานอาหารที่สุกและสะอาด ในสัดส่วนที่เหมาะสม ครบทั้ง 5 หมู่ หลีกเลี่ยงสัมผัสกับผู้ป่วย ที่ไม่สบาย คุณแม่ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพื่อให้มีภูมิต้านทานกับทารก สวมหน้ากากป้องกันการไอ จามรดใส่กัน ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปทั่ว นอกจากนี้แล้ว การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยการฉีดวัคซีนก็ยังถือว่ามีความจำเป็น ทั้งวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส โรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม และไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น

การเตรียมตัวเพียงไม่กี่ข้อนี้ จะถือว่าเป็นคาถาวิเศษสำหรับป้องกันโรคที่แฝงมากับหน้าหนาวในปีนี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มหัศจรรย์ ของ กรุ๊ปเลือด ^^



กระแสความแรงของญี่ปุ่นเกาหลี เข้ามาเมืองไทยเสียทุกเรื้อง อะไรที่ประเทศเขาอิตกันเมืองเป็นได้ฮิตตามกันทุกที อย่างตอนนี้ในประเทศญี่ปุ่นกำลังฮ๊อตฮิตเรื่อง กรุ๊ปเลือดสุดๆ เพราะมันสามารถบอกได้ว่าแต่ละกรุ๊ปเลือดนั้นมีลักษณะบุคลิกและนิสัยเป็นแบบใด ไม่เว้นแม้กระทั้งเรื่องของ เงินๆ ทองๆ

ความรู้เรื่องกรุ๊ปเลือดดูผิวเผิยจะออกไปทางดูดวงเล็กด้วยแต่จริงๆแล้ว ประเทศญี่ปุ่นนั้นมี การรวบรวมสถิติเกี่ยวกับลักษณะคนประเภทต่างๆ โดยแยกแยะเป็นกรุ๊ปเลือดซึ่งจะเป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่กำหนดพฤติกรรมต่างๆ ไว้ ซึ่งวันนี้เราจะมาวิเคราะห์เจาะลึกเรื่องการเงินในกระเป๋ากัน

มหัศจรรย์กรุ๊ปเลือด กรุ๊ป A

คนเลือด กรุ๊ป A โดยทั่วไปแล้วจะเป็นคนที่มีคต่อยข้างระเบียบในชีวิตมากมาย มีความคิดเป็นระบบเหมือนลิ้นชัก มีความรับผิดชอบสูง และชอบคิดว่าเรื่องของคนอื่นคืองานของตนเอง ที่สำคัญติดหลงตัวเองนิดๆ พอน่ารัก ส่วนนิสัยการเงิน-กรุ๊ปเอเป็นกรุ๊ปที่เก็บ เงินได้เก่ง มีเงินเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก็เอาเข้าบัญชี แต่ทว่าเมื่อถึงคราวที่จะต้องใช้ก็มักจะเทออกมาหมดหน้าตักจนเกลี้ยงกระเป๋า เลยทีเดียว ที่สำคัญคนกรุ๊ปเอมักเชื่อว่าตนเองนั้นรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่บางทีทิฐิมานะควรเอาไปใช้ให้ถูกทางดีกว่า

นอก จากนั้น เวลาช้อปปิ้ง คนกรุ๊ปเอจะมีรสนิยมสูง นิยมของแบรนด์เนม แต่เมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าดูแล้วก็มักมีแต่เสื้อผ้าที่เหมือนๆ กันไปหมด

มหัศจรรย์กรุ๊ปเลือด กรุ๊ป B

สาว กรุ๊ป B จะมีนิสัยเป็นหัวใจศิลปิน เธอผู้นี้ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลทั้งปวง แม้ว่าจะตกลงไปเที่ยวกันอย่างดิบดีแล้ว เธอก็อาจจะไม่ไปเสียดื้อๆ ส่วนข้อดีของเธอคือการเป็นนักสร้างสรรค์ที่หาตัวจับยาก และพูดตรงจนใครๆ กลัวเชียวล่ะ

นิสัย การเงิน-เนื่องจากเธอคนนี้ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ บางครั้งก็ประหยัดจนไส้กิ่วแต่บางครั้งก็ซื้อของหรูหราได้อย่างไม่เสียดาย เงิน เพราะเพียงว่าเธออยากได้แค่นั่นเอง

และบางครั้งก็ มักทำเรื่องผิดพลาดทางการเงินง่ายๆ ประเภทเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย (เป็นประจำ) ส่วนใหญ่จะเก็บเงินได้ดียามที่มีกฏข้อบังคับ เช่น ฝากประจำ เล่นแชร์ เป็นต้น

มหัศจรรย์กรุ๊ปเลือด กรุ๊ป O

คนที่มีกรุ๊ป O จะมีเพื่อนเยอะ มีความยืดหยุ่นสูงร่วมกับความโลเลบ้างในบางครั้ง ค่อนข้างจะถนอมน้ำใจคนอื่นๆ มากกว่าที่จะว่ากล่าวไปตรงๆ แต่เมื่อระเบิดแล้วใครๆ ก็ห้ามไม่อยู่

นิสัยการเงิน-คนกรุ๊ปโอไม่โผงผางออกจะเป็นคนเรื่อยๆ มากกว่า ดังนั้น เรื่องการเงินจะค่อนข้างมีระเบียบวินัยกว่ากรุ๊ปอื่นๆ แต่มักไปเสียเงินเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น หนังสือการ์ตูน กระเป๋าย่ามใบเล็กๆ หรือแม้แต่กิ๊บติดผม ที่สำคัญคนกรุ๊ปนี้มักมีเงินแอบเก็บก้อนโตไว้เสมอ จึงมักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเงินทอง

มหัศจรรย์กรุ๊ปเลือด กรุ๊ป AB

เป็น สาวที่คิดอะไรไม่เหมือนใคร ชอบเอาตนเองไปผูกพันกับความรู้สึกของคนอื่น แต่มักสร้างเกราะกำบังตัวเอง ไม่ชอบเปิดใจให้แก่ใครนัก ทำให้คุณเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย

นิสัยการเงิน-ด้วย ลักษณะนิสัยที่เป็นคนคิดเยอะ เวลาใครชวนทำประกันชีวิตหรือกองทุนต่างๆ ก็มักปฏิเสธหรือไม่ให้คำตอบ แถมความคิดมากนั้นไม่ค่อยออกมาเป็นรูปธรรมสักเท่าไร มักคิดแล้วก็หลงลืมไปปล่อยให้เป็นปัญหาคาราคาซังอยู่อย่างนั้น แต่กรุ๊ปเอบีบางคนก็เป็นสุดยอดในการหมุนเงินที่หาตัวจับยากทีเดียว


วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อาหารต้านความชรา














มะเขือเทศ และซอสมะเขือเทศ มีสารที่เรียกว่า “ไลโคพีน” ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ มะเร็งบางชนิด และโรคจอประสาทตาเสื่อม

มันเทศ ฟักทอง และแครอต รับ ประทานผักและผลไม้สีเหลืองอย่างน้อยวันละสองถ้วยจะช่วยให้ร่างกายได้รับเบ ต้า-แคโรทีน จำเป็นต่อผิวหนังและดวงตา ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลาย หรือแม้แต่ลดริ้วรอยได้

บูลเบอร์รี่ และองุ่นม่วง มีสารแอนโธไซยานินช่วยกระตุ้นความจำ และการรับรู้

บล็อกโคลี่ มีสารซัลโฟราเฟน ช่วยชำระล้างสารพิษในร่างกาย โดยเฉพาะบล็อกโคลี่ต้นอ่อนที่มีอายุเพียงแค่ 3 วัน

ผักโขม และผักใบเขียว ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้ถึง 11 เปอร์เซ็นต์

แซลมอน ซาร์ดีน และทูน่า รับประทานปลาที่มีโอเมก้า3 สองมื้อต่อสัปดาห์ทำให้หัวใจมีสุขภาพดี ช่วยลดปัญหาเรื่องการทำงานของสมองเสื่อมตามวัยได้

แอปเปิ้ล (ทั้งเปลือก) มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องสมองจากการถูกทำลาย

ชาเขียว เช่นเดียวกับชาดำ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม

ขิง ขมิ้น และเครื่องเทศ ช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรัง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์

ช็อกโกแลต โกโก้ ช่วยลดคอเลสเตอรอล LDL และลดความเสี่ยงจากเลือดจับตัวเป็นก้อน

ไข่ ลืมข้อเสียเรื่องคอเลสเตอรอลที่เคยเชื่อกันมานานนมไปได้เลย เพราะไข่มีครบทั้งเกลือแร่ วิตามินและโปรตีน ไข่แดงยังอุดมไปด้วยคาโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม

ข่าวดีของเด็กไทย :))

หลังจากทราบข่าว เด็กไทยที่ไปคว้าแชมป์โลกแข่งขันใช้งานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ประเทศแคนาดา สร้างผลงานเสร็จใน 7 นาทีจากเวลาที่กำหนด 50 นาที คว้าเงินรางวัล 6,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้รู้สึกทึ่งในความสามารถของเด็กคนนี้จน ต้องไปหาข้อมูลมาให้เพื่อนๆที่ยังไม่ทราบข่าวได้รู้จักว่า เขาคือ


นายกานกวิญจน์ โค้วสีหวัฒน์ หรือ น้องเค นักเรียนอายุ 17 ปี นักเรียนชั้นม.5 โรงเรียนศรีวิกรม์ จากประเทศไทย เป็นผู้ชนะเลิศการแข่งขันทักษะการใช้โปรแกมไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ เวิร์ด 2007 ในรายการWorldwide Competition on Microsoft Office ซึ่งเป็นรายการที่มีผู้เข้าแข่งขันมากที่สุดในปัจจุบัน โดยในการแข่งขันปีที่ 8 ครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมการแข่งขันถึง 80,000 คน จาก 53 ประเทศทั่วโลก ซึ่งต้องผ่านการคัดเลือกตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ประเทศ ก่อนที่จะมาชิงชนะเลิศกันที่โทรอนโต แคนาดา



ดร.รุ่งเรือง สุขาภิรมย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่าการแข่งขันรายการนี้ เป็นการแข่งขันการใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรม ไมโครซอฟต์ เวิร์ด 2007 วิธีการแข่งขันคณะกรรมการจะให้โจทย์ที่ผู้เข้าร่วมแข่งขันแต่ละคนจะต้องใช้ โปรแกรมดังกล่าวในการสร้างผลงานตามที่กำหนดภายในเวลา 50 นาที แต่น้องเค-กานกวิญจน์สามารถทำเสร็จได้อย่างถูกต้องภายในเวลาเพียง 7 นาที จึงคว้ารางวัลชนะเลิศมาครองเป็นผลสำเร็จ

"น้องเคจัดเป็นเด็กอัจฉริยะ ชอบอ่านหนังสือมากมาตั้งแต่เด็กๆ โดยอ่านสามก๊กจบตั้งแต่อยู่ป.1 รวมถึงชอบอ่านหนังสือประเภทประวัติศาสตร์โลก จนป.5 เริ่มสนใจและชอบอ่านหนังสือกฎหมาย ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและอาญา ศึกษาด้วยตนเองมาเรื่อยๆ จนประมาณ ม.3-4 ลงทะเบียนเรียนนิติศาสตร์แบบพรีดีกรี ที่ม.รามคำแหง ส่วนคอมพิวเตอร์สนใจมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน ราวป.6 สามารถสร้างเว็บไซต์และเขียนโปรแกรมด้วยตนเอง" ดร.รุ่งเรืองกล่าว

ดร.รุ่งเรือง กล่าวอีกว่า ในอนาคตหลังสำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้ว น้องเควางแผนที่จะสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวะคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ควบคู่กับการนำหน่วยกิตที่เรียนนิติศาสตร์หลักสูตรพรีดีกรีมาเทียบโอน เพื่อศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงและศึกษาต่อเนติบัณฑิตไทย โดยฝันอยากที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์และที่ปรึกษาด้านกฎหมาย

ต้องขอขอบคุณความร่วมมือของสถาบันไอทีไอที บริษัท เอ. อาร์. ไอที จำกัด บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) และอุทยานการเรียนรู้ หรือทีเคปาร์ค ที่ได้จัดโครงการการจัดการแข่งขัน MOS Olympic Thailand Competition มาตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบัน2552 ( ครั้งที่ 7 ) โดยวัตถุประสงค์เพื่อให้เยาวชนได้แสดงความรู้ ความสามารถ และเห็นความสำคัญการใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟท์ออฟฟิศ อีกทั้ง เป็นตัวแทนประเทศไทยสร้างชื่อเสียงให้สถาบันการศึกษาก้าวสู่ระดับสากล และเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก


วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เครียด เครียด เครียด -0-



เมื่อคุณเผชิญภาวะเครียดทางอารมณ์ คุณคงอยากให้อารมณ์เครียดหมดไปอย่างรวดเร็ว เพราะภาวะ เครียดนี้จะทำให้คุณเป็นคนที่ไม่น่าคบหาสมาคม คุณก็ทราบดีว่า อารมณ์ชนิดนี้ไม่มีใครต้องการแม้แต่ตัว
คุณเองก็เถอะ เมื่อเกิดอารมณ์ร้ายขึ้นแล้วก็จะทำให้คุณค่าในตัวคุณด้อยลง อย่างมากเทียวค่ะ กริยา วาจา ที่ไม่เหมาะสมก็จะแสดงออกมา เพาะฉะนั้นคุณควรจะมีวิธีการจัดการ กับอารมณ์ร้ายนี้ และต่อไปนี้เป็น ข้อแนะนำบางประการ

๑. หาใครสักคนที่คุณไว้ใจ ระบายความรู้สึก รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่ทำให้คุณเกิดความไม่พอใจทำให้คุณไม่
สบอารมณ์ คนที่คุณไว้ใจได้ เช่น พ่อ แม่ ภริยา-สามี พี่น้อง เพื่อนสนิท หรือครูบาอาจารย์ ฯลฯ การที่มีคน
รับฟังคุณ แค่นี้ก็เป็นการระบายปัญหาที่คุณมีอยู่แล้วค่ะ ระหว่างที่คุณ ระบายเรื่องราวต่าง ๆ นั้น คุณก็อาจ จะได้คำตอบของปัญหานั้น ๆ พร้อมกันก็ได้

๒. หลีกเลี่ยงอารมณ์เครียด ด้วยการหากิจกรรมอย่างอื่นทำเพื่อจะได้พบกับสิ่งที่ทำให้คุณไม่สบอารมณ์สัก
ระยะหนึ่ง ด้วยการเล่นกีฬาที่คุณชอบ ไปพักผ่อนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เดินชอบปิ้งตามห้างสรรพสินค้าอ่าน
หนังสือที่คุณชอบ ฯลฯ การได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ จะทำให้คุณลืมคิดถึงเรื่องทรมานใจ และมีข้อแนะนำ
ว่ากิจกรรมที่คุณเลือกนั้น คุณต้องทำด้วยความตั้งใจจริง ด้วยความชอบจริง ๆ คุณจึงประสบผลสำเร็จในการ
เอาชนะอารมณ์เครียดของคุณ การได้ละความสนใจจากเรื่องเครียด ๆ จะทำให้คุณมีอารมณ์สุขุม มีสติปัญญา
ไตร่ตรองปัญหาอย่างรอบคอบและกลับมาต่อ สู้ปัญหาอย่างใจเย็นต่อไป

๓. พยายามระงับอารมณ์โกรธลงในเวลาอันรวดเร็วที่สุด เพราะอารมณ์โกรธจะทำให้ความ
คิดมืดมน อาจแสดงอาการหรือพฤติกรรมที่ไม่ดี อันจะมำให้เกิดความเสียใจได้

“ รักยาวให้บั่น ” เราจะต้องบั่นทอนการเฉยเมยต่อเพื่อนฝูง การวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่จำเป็น การพูดจา
ไม่สุภาพ การกระทบกระเทียบ เสียดสี แดกดัน คำด่าที่รุนแรงเผ็ดร้อน และการผิดนัดหมาย ฯลฯ ทิ้งไปเสีย

“ รักสั่นให้ต่อ ” เพื่อกระชับระยะทางของการสร้างมิตรภาพให้สั้นเข้ามาหรือใกล้ชิดยิ่งขึ้น เราจะต้อง
“ ต่อสายใยมิตรภาพ ” ด้วยการให้ความสำคัญ สนใจใยดีต่อความสุขความทุกข์ของเพื่อน ชมเชยและดีใจ ด้วยเมื่อเพื่อนได้รับสิ่งสวยงาม หรือได้รับความสำเร็จ พูดจาด้วยถ้อยคำสุภาพ มองด้วยสายตาที่เป็นมิตร
ไม่ผิดนัดหมายโดยไม่จำเป็น

เพียงเท่านี้ทางสายมิตรภาพที่ต้องการก็จะยืนยาว จนเป็นอมตะนิรันดร์กาลได้เลยทีเดียว