วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Merry Chrismas !


คริสต์มาส (อังกฤษ: Christmas) หรือ วันคริสต์มาส (อังกฤษ: Christmas Day; หรือเรียกว่า Christ's mass, Nativity, Yuletide, Noel,Winter Pascha, Xmas) เป็นเทศกาลประจำปี ซึ่งในศาสนาคริสต์ จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู คริสต์มาสตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี แต่ก็ไม่เป็นที่เชื่อกันว่าเป็นวันประสูติของพระองค์จริง สำหรับสาเหตุที่เลือกวันดังกล่าวแต่เดิมมีอยู่หลายประเด็น ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า วันนี้เป็นเวลาเก้าเดือนพอดีหลังจากนางมารีย์รับการประสูติของพระเยซู ตรงกับเทศกาลบูชาสุริยเทพของโรมันโบราณ หรือไม่ก็ตรงกับเหมายันในซีกโลกเหนือ ในทางคริสต์ศาสนา คริสต์มาสเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งเป็นวันหยุดยาว 12 วัน

ถึงแม้ว่าแต่เดิมคริสต์มาสจะเป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองโดยคริสเตียน แต่ผู้ที่มิได้นับถือศาสนาคริสต์จำนวนมากก็ได้จัดงานเฉลิมฉลองคริสต์มาสอย่างกว้างขวาง วัฒนธรรมสมัยใหม่ของคริสต์มาส รวมไปถึง การให้ของขวัญ เพลงคริสต์มาส การแลกเปลี่ยนการ์ดคริสต์มาส การตกแต่งโบสถ์คริสต์ การรับประทานอาหารมื้อพิเศษ และการตกแต่งบรรยากาศ เช่น ต้นคริสต์มาส มิสเซิลโท ฮอลลี่ เป็นต้น และยังมีตำนานอันเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายเกี่ยวกับซานตาคลอส(หรือ ฟาเธอร์คริสต์มาส) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการให้ของขวัญแก่เด็ก ๆ

เนื่องจากการให้ของขวัญและผลกระทบจากเทศกาลคริสต์มาสได้ทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างมาก ทั้งในกลุ่มคริสเตียนและผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียน วันดังกล่าวจะกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญและช่วงเวลาของสินค้าลดราคาสำหรับผู้ค้าปลีกและธุรกิจ ผลกระทบทางเศรษฐกิจของคริสต์มาสเป็นปัจจัยซึ่งเติบโตขึ้นอย่างคงที่ตลอดเวลาหลายศตวรรษที่ผ่านมาในหลายภูมิภาคของโลก

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อย่างไหนดีกว่ากัน ^^




น้ำ กับ (น้ำสีดำ)








ถ้าท่านรู้เรื่องนี้ ท่านจะดื่มน้ำมากขึ้น เพราะน้ำเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย 75%

มีงานวิจัยพบว่าในคน 100คน ที่ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้วจะช่วยให้คน 80 คนลดอาการปวดหลังปวดข้อลงได้

ดื่มน้ำวันละ 5 แก้วลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ได้ถึง 45 % มะเร็งเต้านมได้ 79% และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เกือบ 50%

ทีนี้มาลองรู้จักน้ำ “(น้ำสีดำ)”กันหน่อย แน่นอน(น้ำสีดำ)รสชาดยอดเยี่ยม

แต่ตำรวจทางหลวงจะบรรทุก(น้ำสีดำ) 2แกลลอนในช่องท้ายรถเพื่อเวลามีรถชนกันสามารถเอา 'น้ำ(น้ำสีดำ)'ล้างเลือดบนถนนได้เกลี้ยงเกลา

ถ้าเอา T-bone steak ใส่ในชามกะละมังที่มีน้ำ(น้ำสีดำ)เต็ม จะพบว่าจะถูกละลายไปหมดใน2วัน

ริน(น้ำสีดำ) 1 กระป๋องลงในโถส้วมทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงแล้วชักโครกกรดซิตริกใน(น้ำสีดำ)จะล้างคราบสกปรกในโถส้วมได้สะอาด
ถ้าต้องการกัดสนิมที่กันชนชุมโครเมี่ยมของรถ ให้เอาที่ขัดที่ทำด้วย foil ชุบ(น้ำสีดำ) ขัดสนิมจะออกหมด

ถ้าจะล้างทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ที่มีคราบกรดเกลือเกาะขาวๆให้เทน้ำ(น้ำสีดำ) ฟองจะกัดคราบขาวออกได้หมด ถ้าจุดขวดติดแน่นงัดไม่ออกเอาผ้าชุบน้ำ(น้ำสีดำ)หุ้มไว้หลายๆ นาที จะบิดจุดขวดออกได้โดยง่าย

ถ้าจะปิ้ง moist ham ให้เท(น้ำสีดำ) 1 กระป๋อง เทลงในกระทะ ห่อแฮมด้วยอะลูมิเนียมฟอล์ยแล้วปิ้ง 30 นาที ก่อนแฮมจะสุก
แกะฟอล์ยออกปล่อยให้น้ำเนื้อหยดลงไปผสมกับน้ำ(น้ำสีดำ)ในกระทะ ท่านจะได้น้ำเกรวี่สีน้ำตาล

การล้างคราบไขมันจากเสื้อผ้าให้ใช้น้ำ(น้ำสีดำ) 1 กระป๋อง ผสมกับผงซักฟอกในปริมาณที่จะใส่ในเครื่องซัก ปล่อยให้ซักด้วยเครื่องตามปกติ (น้ำสีดำ)จะช่วยกำจัดคราบไขมันได้สะอาดหมดจด

ท่านสามารถผสม(น้ำสีดำ)ลงในน้ำล้างกระจกรถยนต์ ฟอสฟอริคแอซิดใน(น้ำสีดำ) จะช่วยทำความสะอาดกระจกได้ดี

ุ น้ำ(น้ำสีดำ)มี pH 2.8 ถ้าตัดเล็บแช่ในน้ำ(น้ำสีดำ) 4 วัน จะละลายหมด

เวลาขนย้ายน้ำ(น้ำสีดำ)เข้มข้นเพื่อส่งตามโรงงานทั่วโลกที่รถ truck จะต้องติดป้ายไว้ว่า “มีวัตถุที่มีกรดกัดกร่อนได้ เป็น
อันตราย”

ุ บริษัทขายน้ำ(น้ำสีดำ)ใช้น้ำ(น้ำสีดำ)ทำความสะอาดเครื่องยนต์ของรถ truck มานานประมาณ 20 ปีแล้ว

ท่านยังอยากดื่ม (น้ำสีดำ)หรือดื่มน้ำกัน เลือกเอาเอง

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ถั่วงอกดิบมีโทษ !!!!!!!!

ในผักสดบางชนิดมีสารพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ในถั่วงอก

มีสารพิษพวกที่เรียกว่าไฟเตต ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะ
ไปจับแร่ธาตุบางชนิดที่อยู่ในอาหาร
ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย
ร่างกายจะเป็นโรคขาดแร่ธาตุ
สารพิษเหล่านี้สามารถทำลายได้โดยการต้ม

จึงควรรับประทานถั่วงอกสุขดีกว่าถั่วงอกดิบ

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทำไมถึงมีกลิ่นตัวแรงงงงงงงง !!!!!!!!

หลายคนอาจจะเห็นประสบพบ ปัญหานี้ ไม่ว่าจะเป็นจากตัวคุณเอง คนใกล้ตัว หรือ เพื่อนฝูงรอบข้าง วันนี้ทีมงานสนุก! แคมปัส ขออาสาพาไปไขข้อข้องใจกัน…

การมีกลิ่นตัวแรงอาจเนื่องมาจากเหตุ 3 ประการด้วยกัน คือ…

ประการแรก อาจเกิดขึ้นจาการมีสาร บางอย่างที่มีกลิ่นเหม็นนั้นอยู่ในกระแสเลือด โดยสารพวกนี้ได้รับเข้าไปทางอาหารและจะถูกขับออกมาทิ้งโดยทางเหงื่อ ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้

ประการที่สอง อาจเกิดจากพวกแบคทีเรียที่มีอยู่ตามผิวหนัง รวมกับเหงื่อ ทำให้เกิดการบูดเน่าและมีกลิ่นเหม็น

ประการที่สาม เกิดจากการสลายตัวของสารที่ละลายปนออกมากับเหงื่อ ทำให้มีกลิ่นเหงื่อเกิดขึ้น โดยมากจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่สนใจที่จะอาบน้ำชำระเหงื่อไคล หรือไม่ค่อยเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มอยู่เสมอ


วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิตามินซี คืออะไร



ประวัติการค้นพบ วิตามินซี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าพวกทหารเรือที่มีการรอนแรมออกเดินเรือไปในทะเลเป็นเวลานานๆ ซึ่งมักจะขาดแคลนพวกผักสดผลไม้สด จะป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการอ่อนเพลีย อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าจะไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาว เป็นประจำ และเมื่อต่อมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ในปี 1982 ก็สามารถหาสารอาหารสำคัญที่เป็นต้นเหตุของโรคดังกล่าวได้ว่าสารที่พวกทหาร เรือขาดไปคือ “กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid)” ซึ่งมันมีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ ในปัจจุบัน กรดแอสคอร์บิค ก็ถูกรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ “วิตามินซี” และมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2ครั้ง และมีอายุยืนยาวมากกว่า 90 ปีแม้จะป่วยเป็นโรค มะเร็ง มายาวนานถึง 20 ปีก็ตามคือ Dr.Linus Pauling ชาวเมืองพอรต์แลนด์ ได้เคยพูดไว้ว่า เหตุที่เขาสามารถมีสุขภาพดีและสามารถชะลอการลุกลามของโรค มะเร็ง ในตัวได้นานกว่า 20 ปี ก็เนื่องจาก วิตามิน และ เกลือแร่ ที่เขารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินซี ซึ่งหลังจากที่เขารับประทานขนาดสูงทุกวัน เขาก็ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย Dr.Linus Pauling เริ่มรับประทาน วิตามินซี ชนิดเม็ดตั้งแต่อายุ 40 ปี และเพิ่มขนาดสูงถึง 18,000 มิลลิกรัม เมื่อรู้ว่าตนเองเป็น มะเร็ง ตั้งแต่อายุได้ 64 ปี เขายืนยันว่ามันช่วยให้ มะเร็ง ในร่างกายสงบลง

ประโยชน์ของ วิตามินซี
เราทราบ กันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น


วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

๕ ธันวาคม วันพ่อแห่งชาติ


5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมี
กระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ

วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ใกล้จะถึงวันพ่อแล้ว มาทำอะไรดีๆกันเถอะ !



8 วิธีง่ายๆ
ในการทำดีโดยเริ่มจากตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุด และสามารถทำได้ทุกวัน

วิธีที่ 1 ทำดีง่ายๆ เริ่มต้นที่กายแข็งแรง เมื่อกายแข็งแรงแล้ว จะเป็นจุดเริ่มให้ทำความดีมากยิ่งขึ้น

วิธีที่ 2 ทำดีง่ายๆ ทำใจให้เป็นสุข ด้วยการรู้จักลด ละ เลิกอบายมุข ทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และยาเสพติด ชำระใจให้สะอาด มีสติเป็นเครื่องเตือนใจ เพื่อดำเนินชีวิตให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

วิธีที่ 3 ทำดีง่ายๆ กับครอบครัวและคนใกล้ตัว โดยรู้จักการแบ่งปัน หยิบยื่นความรักและความปรารถนาดีแก่ผู้อื่น ผิดใจก็รู้จักให้อภัย ชื่นชมและให้กำลังใจกันเสมอ

วิธีที่ 4 ทำดีง่ายๆ ด้วยการอาสาช่วยเหลือสังคม รู้จักการเสียสละเวลา พละกำลังเป็นอาสาสมัคร เพื่อส่วนรวม เป็นการทำความดีอย่างมีความสุขโดยไม่หวังผลตอบแทน

วิธีที่ 5 ทำดีง่ายๆ ห่วงใยสิ่งแวดล้อม ลดการเพิ่มขยะใช้ถุงพลาสติคที่ไม่จำเป็น ท่องให้ขึ้นใจใช้ถุงผ้า รีไซเคิล จะทิ้งต้องลงถัง เก็บกวาดให้สะอาด ที่ทำงานสดใส สังคมก็จะน่าอยู่

วิธีที่ 6 ทำดีง่ายๆ ปลูกต้นไม้ถวายเป็นพระราชกุศล มีส่วนร่วมในการช่วยลดภาวะโลกร้อนแบบง่ายๆ ปลูกต้นไม้คนละต้น ปลูกทุกครั้งเมื่อมีโอกาส

วิธีที่ 7 ทำดีง่ายๆ รักพ่อต้องพอเพียง ประหยัด และอดออมให้ขึ้นใจ ยิ่งใช้น้อย ยิ่งเหลือเก็บมาก จ่ายในสิ่งที่จำเป็น เมื่อใช้จ่ายอย่างพอดี บริโภคอย่างพอเพียง ชีวิตจะสุขเพียงพอ

วิธีที่ 8 ทำความดีง่ายๆ ด้วยการให้และบริจาค รู้จักเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ เสียสละสิ่งของ ทรัพย์ โลหิต อวัยวะ ตามกำลัง ด้วยการให้ด้วยใจบริสุทธิ์ส่วนรวมย่อมจะพบกับความสุขสบายใจอย่างแท้จริง

ทำดี ไม่ต้องรอโอกาส เพื่อทุกๆ ความดีที่ทำ คือ ของขวัญจากใจพ่อที่ชื่นใจ


วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เด็กดีดอทคอม :: เคล็ดลับการอ่านหนังสือให้ อึด,ถึก,จำ




ดูแลตัวเองก่อนอ่าน

การเตรียมร่างกาย ก่อนการอ่านหนังสือก็ถือเป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจ เริ่มกันตั้งแต่เครื่องแต่งกันกายกันเลย ควรสวมชุดสบายๆ ไม่แน่นคับเกินไป

วิธีการหักโหมอ่านหนังสือ จนท้องหิวก็ยังไม่หยุด ไม่ส่งผลดี เพราะในสภาวะนี้จะทำให้ผู้อ่านขาดสมาธิ ขาดพลังงานในการไปเลี้ยงสมอง และขณะอิ่มใหม่ๆ ก็ไม่ควร เพราะร่างกายจะใช้พลังงานไปกับการย่อยอาหาร เลือดที่ไปเลี้ยงสมองอาจทำให้ระบบการย่อยทำงานไม่เต็มที่ ขณะที่สมองก็ใช้ประสิทธิภาพได้ไม่เต็มร้อย

ท่านั่งหลังตรงตั้งฉาก บนเก้าอี้ที่มีพนักพิงให้พอเหมาะกับสรีระร่างกาย ไม่ฝืนเกร็ง จะให้อ่านได้นานขึ้น

ควรอ่านหนังสือในสภาวะอารมณ์ปกติ ไม่มีอาการเครียด มีจิตใจผ่องใส จะทำให้มีสมาธิดี จำได้มาก และเข้าใจได้รวดเร็ว แล้วไม่เครียดจนเสียสุขภาพ

ดูแลตัวเองขณะที่อ่าน

ถือหนังสือให้ห่างจากดวงตาประมาณ 30 เซนติเมตร ไม่ควรนอนอ่านหนังสือ เพราะจะทำให้ปวดหลังทำให้เมื่อยแขนและสายตายังต้องปรับระดับมากด้วย

อ่านหนังสือในที่ที่แสงสว่างเพียงพอไม่มืดหรือแสงมากไป และไม่ควรอ่านหนังสือบนรถเพราะสายตาจะจับโฟกัสได้ยาก

พยายามกะพริบตาอยู่บ่อยๆป้องกัน อาการตาแห้ง,การอ่อนล้าสายตา

เด็กดีดอทคอม :: เคล็ดลับการอ่านหนังสือให้ อึด,ถึก,จำ


ดูแลตัวเองหลังการอ่านหนังสือ

หลังการอ่านหนังสือนานๆควรพักสายตา โดยมองไปที่ไกลๆ หรือร่มไม้สีเขียว เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ดวงตา

เราสามารถบริหารดวงตาได้หลายวิธีเช่น การกรอกตาไปมาหรือการใช้ฝ่ามือคลึงเป็นวงกลมเบาๆ บริเวณดวงตาด้วยฝ่ามือ

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ลอยกระทง








วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป

ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นอนไม่หลับ ทำไงดี ??


อยากจะหลับและทำไม๊ ทำไมถึงนอนไม่หลับ ...นั่นน่ะซิคะ ไหนจะเครียดเรื่อง นอกบ้าน แล้วยังต้องมา เครียดเรื่องนอน ไม่หลับของตัวเองอีก ก่อนที่อาหารนอน ไม่หลับ จะเล่นงานคุณให้ ต้องตาบวมฉึ่งไปทำงาน มาหาวิธีแก้ไขกับ 33 เคล็ดลับเด็ดๆ ที่เราเสนอให้ดีกว่า อย่ามัวข่มตานอนอยู่เลย















1. อย่าเข้านอนเพราะว่า "ถึงเวลานอนแล้ว" แต่จงเชื่อนาฬิกาในตัวคุณเอง ถ้าดุไม่ออกว่าตอนไหน ขอให้รู้ไว้ว่าร่างกายจะสื่อให้ทราบเมื่อถึงเวลา แต่ทว่า มนุษย์เราไม่รู้ ความหมายอยู่บ่อย ๆ ซึ่งได้แก่ การหาวนอน อาการแสบตา ความรู้สึกประเภท "ลานหมด" หัวจะทิ่มลงท่าเดียว ส่วนหนังตา ก็หย่อน พาลจะหลับให้ได้…. ถ้ายังไม่รับทราบสัญญาณเหล่านี้ คุณก็จะพลาดรถไฟ สายเจ้าหญิงนิทรา และจะต้องรอไปอีกสองชั่วโมง จึงจะง่วงนอนอีกครั้ง เนื่องจากต่าง คนต่างก็มี่ช่วงจังหวะของตัวเอง จึงเปล่าประโยชน์ที่คุณ จะเข้านอนแต่เนิ่น ๆ ถ้าคุณเป็นสมาชิกครอบครัว นอนดึก หรือรอจนดึกดื่น จึงเข้านอน ถ้าคุณเป็นพวกนอนหัวค่ำ
2. อย่านอนผิดเวลทุกวัน คุณรับประทานอาหารประมาณเวลาเดิม ก็ขอให้เข้า นอน และ ตื่นนอนตามตารางเวลา เดิมเป็น ประจำด้วย มิฉะนั้นคุณก็เสียง ที่จะง่วง นอนผิดเวล่ำเวลา
3. ทดลองหลับแว่บเดียว ทำเหมือนจิตรกรซัลวาดอร์ ดาลี ที่ดูเหมือนเป็น หนึ่งใน บรรดา ลูกสมุนของเทคนิค "แสงแว่บ" เรียกสติคืนมา นั่งบน เก้าอี้โซฟา มือถือช้อนชาคันหนึ่ง ตรงปลายเท้าของคุณวางจานโลหะ ไว้หนึ่งใบ เมื่อผล็อย หลับ มือก็จะปล่อยช้อนหล่นลงมาบนจานโลหะ ส่งเสียงดัง ซึ่งจะปลุกคุณให้ตื่น…. ในทางทฤษฎีถือว่าอาการของคุณปกติดี คำอธิบาย….เมื่อหลับตา คุณตัดข้อมูล ไม่ให้เข้าสู่สมองได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ควรฝึกวันละหลายครั้ง
4. พักกลางคัน ถ้าคุณไม่สนใจพักแป๊ปเดียวเพื่อให้ตนเอง กระปรี้กระเปร่า ก็ใช้วิธีนี้ นั่งท่าสบาย ๆ อยู่ที่โต๊ะ ทำงาน ของคุณ หนุนศีรษะบนแขนที่ไขว้ กัน หรือนอนท่าเหยียดยาว หลับตาและปล่อยตัวตามสบาย 5 นาที เพื่อผ่อนคลาย ง่าย ๆ
5. สะสมการนอน "ช่วงสั้น" ใน วันทำงาน คงยากที่ จะนั่งสัปหงกหน้าแป้นพิมพ์ คอมพิวเตอร์ตอน บ่ายอ่อน ๆ เก็บสะสมความอยากเอนหลังนาน ๆ เป็นชั่วโมง ครึ่งถึงสองชั่วโมง (ซึ่งเป็นหนึ่งวัฏจักรของการ นอนหลับพักผ่อน ที่เต็มอิ่ม) เอาไว้ชดเชยตอนบ่ายของวันสุดสัปดาห์ คุณจะได้พักผ่อนอย่าง อิ่มเอม ใช้หนี้ความเหนื่อยล้าตลอดสัปดาห์
6. บอกเลิกการตีเทนนิสหรือการออกกายบริหารที่ฟิตเนสทุกเย็นวันอังคาร นอกเสียจากว่าคุณไม่ กลัวนอนดึก การเล่นกีฬาตอนหัวค่ำยิ่งไม่เอื้อ ต่อการนอน เพราะทำให้ร่างกายสดชื่นตื่นตัว แต่ก็อีกนั่นแหละ ต้องจับตาดูความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคน แพราะสิ่งที่ทำให้คนใกล้ตัว หลับบางที คือสิ่งที่กลับปลุกให้คุณตื่น
7. ลงมือฝึกชี่กง (ลมปราณ) ชี่กงเหมาะมากสำหรับสงบความคิดจิตใจ และขจัด ความอ่อนเพลีย ในไม่ช้าคุณจะเรียนรู้ที่จะทำท่าที่ชวนให้ง่องนอนเป็น
8. รับประทานอาหารค่ำแต่หัวค่ำ คุณจะรู้สึกว่าเวลาช่วงค่ำยาวนานขึ้น ควรหลีก เลี่ยงการเข้านอน "ขณะยังย่อยอาหารอยู่" ปล่อยให้เวลาผ่านไป อย่างน้อย สอง ชั่วโมงหลังอาหารค่ำแล้วจึงค่อยนอน
9. ค้นพบความเพลิดเพลินและประโยชน์ของการเดินย่อยอาหารมื้อค่ำ
10. ละเว้นสารกระตุ้นต่าง ๆ เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ กาแฟ น้ำชา….ความจริง ที่มนุษย ์ส่วนใหญ่ยังคงละเลยอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีความสามารถจะรับและ มีปฏิกริยา โต้ตอบพิเศษกับคาเฟอีนก็ตาม เพราะระบบเผาผลาญ บางคนต้อง ใช้เวลาสิบสอง ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเพื่อกำจัดกาแฟเพียงถ้วยเดียว ไม่น่าแปลกใจ ที่คำว่า "kawa" หรือ "กาแฟ" ในภาษาอาหรับหมายถึง "ตัวทำลายความง่วง"
11. จงหาว ถ้าเกิดง่วงนอนและมีอาการหาวบ่อย ๆ การบังคับตนเองให้หาว จะช่วย ผ่อนคลาย ได้และทำให้อยากนอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า ได้ยืดแข้ายืดขาด้วย
12. ดื่มเครื่องดื่มชาสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการกล่อมประสาทอย่าง ชาคาโมมายล์ ลาเวนเดอร์….จะช่วยให้นอนหลับได้
13. ลดปริมาณอาหาร และ กลูไซด์ (อินทรียสารในคาร์โบไฮเดรต) ตอนมื้อค่ำ หลีกเลี่ยงน้ำตาล ชองหวานที่หวานจัด น้ำผึ้ง น้ำอัดลม…. เพราะเสี่ยงที่จะ เสริม ให้โลหิตมี ปริมาณกลูโคสต่ำกว่าปกติในตอนกลางคืน
14. รับประทานแอปเปิ้ล ผักกาดหอม และผลิตภัณฑ์จากนม ตามความเชี่อที่ว่า อาหารเหล่า นี้เป็นเพื่อนกับความง่วง เพราะประกอบด้วยสารหลักใน ตัวยาที่ออกฤทธิ์ วิตามินและเอ็นไซม์ที่เป็นสื่อกลางช่วยให้ง่วงเหงาหาวนอน ควรเลือกผลิตภัณฑ ์จากนมที่ย่อยได้ง่ายที่สุด อย่างโยเกิร์ต (นมเปรี้ยว) นมข้น และเนยแข็งสีขาว ดีกว่าพวกเนยแข็งที่ไขมันสูงและผ่านการหมักเชื้อ สำหรับอาหารค่ำ ควรเลือกอาหารจำพวกปลานึ่ง ผักนึ่ง และผลไม้ที่ย่อยง่าย เลีกเลี่ยงอาหาร ที่มีไขมัน ผลิตภัณฑ์จากหมูเนื้อ เครื่องเทศและเครื่องปรุงรส
15. ก่อนเข้านอนอย่าดื่มน้ำมากเกินไป แต่ให้ดื่มมาก ๆ ในระหว่างวันตั้งแต ่เวลา 18 นาฬิกาเป็นต้นไปจงลดการบริโภคของเหลว
16. ปกป้องตนเองให้พ้นจากเสียงรบกวนหาสำลีอุดหูหรือติดกระจกซ้อนสองชั้น ปูพรมตลอดห้อง ใช้เพดาน เก็บเสียง….เสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อม ทีเราใช้ชีวิต อยู่มีส่วนในการลด ทอนคุณภาพการนอนได้
17. หัวเราะวันละหลาย ๆ ครั้ง การหัวเราะเป็นกิจกรรมตามธรรมชาติและ เกิดขึ้นเอง ซึ่งเป็นการรักษาสมดุลของระบบประสาท สำหรับบางคน "หัวเราะนาทีเดียวมีค่าเท่ากับการ ผ่อนคลายร่างกายสี่สิบห้านาทีเต็ม"
18. การพักผ่อนนอนหลับเป็นเรื่องใหญ่ ที่นอนเป็นเรื่องสำคัญ จงหันไปเลือก ฟูก ขนาด 160 คูณ 200 ซ.ม. กว้างขวางกว่าฟูกมาตรฐานขนาด 140 คูณ 190 ซ.ม. หรือไม่ก็ไปหาฟูกแบบอเมริกัน เลือกตามชอบใจว่าจะเป็น คิงไซส์ ขนาด 190 คูณ 200 ซ.ม. หรือแคลิฟอร์เนียนคิงไซส์ ขนาด 180 คูณ 210 ซ.ม.
19. เพื่อความสมดุลสงบ เวลานอนควรตรวจสอบทิศทางที่ถูกต้อง สำหรับการวาง เตียงนอน คือให้ศีรษะหันไปทางทิศเหนือ เท้าไปทางทิศใต้ตามทิศทาง ของคลื่นแม่เหล็กโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าให้ศีรษะหันไปทางทิศ ตะวันออก
20. ถ้าคุณต้องทาสีผนังห้องนอนใหม่ ขอให้ทราบด้วยว่าสีฟ้ากลาง ๆ เป็นสีสำหรับ การนอนที่ดีที่สุด
21. กรองแสงสว่างเหมือนกับการหรี่ศูนย์ความรู้สึดตื่นของเราค่อย ๆ หรี่จาก แสง สว่างจ้าให้มืดลงเรื่อย ๆ ลดไฟฟ้าในห้องนอนของคุณ หรือปิดตาสักครู่ ก่อน ดับไฟ คุณจะช่วยร่างกายให้ปฏิบัติหน้าที่ ง่ายขึ้นโดยช่วงเวลา เปลี่ยนแปลงคือ สองสามนาที และปฏิบัติกลับกันในตอนเช้า
22. ไม่ควรนำต้นไม้ใบเขียวไว้ในห้องนอน อย่างน้อยเวลากลางคืน หลีกเลี่ยง ไม่ให้ มาแย่งออกซิเจน
23. ใช้วารีบำบัด สปาบางแห่งเสนอวิธีบำบัดที่ช่วย ให้คุณค้นพบกุญแจ สำหรับการ นอนหลับใน โปรแกรม ประกอบด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ในสระว่ายน้ำ ที่บรรจุน้ำทะเลอุ่น ๆ ตามด้วยเสียงดนตรีใต้น้ำ การแช่น้ำ ในอ่างจากุชซี่ที่ผสม หัวน้ำมันดอกลาเวนเดอร ์จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
24. อย่าให้ห้องนอนของคุณร้อนเกินไป จะดีที่สุดให้อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20 ถึง 25 องศาเซลเซียส
25. ควบคุมการหายใจขณะตื่นอยู่ ร่างกายเพิ่มการหายใจในระดับทรวงอกเอง โดยสัญชาตญาณ จงหายใจเข้าช้า ๆ และลึก ๆ โดยใช้ท้องอย่างไม่ต้องฝืน และ ต่อเนื่องกันราบรื่น หายใจออกแล้วหยุดไว้สองวินาที ก่อนหายใจใหม่ อีกครั้ง การหยุดช่วงสั้น ๆ นี้มีบทบาททำให้ระบบประสาทสงบลง ให้ปฏิบัติ การหายใจ ในท่านอนเหยียดยาว ก่อนนอน
26. นวดตัว โดยเน้นที่เท้า กลุ่มเส้นประสาท เส้นโลหิต หรือต่อมน้ำเหลือง ด้วยน้ำมันหอม ระเหยผสมลงไปในน้ำมันฐาน หรือครีมที่เป็นกลาง ถ้าชอบจะ เพิ่มน้ำมันหอมระเหย (ดอกลาเวนเดอร์ ดอกมาร์จอแลน ดอกบาซิลิก หรือเนโรลี) โดยหยดผสมไปกับน้ำมันฐาน (น้ำมันหอม ระเหยมากที่สุด 5 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันฐานถ้าเป็นไปได้ ใช้ชนิดบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ตามธรรมชาติ) เทคนิค อื่นในการคลาย เครียดได้แก่ การใช้ฝ่ามือทั้งสองนวด โดยกางนิ้วออก นวดศีรษะเบา ๆ ไล่จากคางขึ้น ไปถึงหน้าผาก แล้วย้อนกลับ ลงมาที่ท้ายทอย คุณนวดที่หางตาได้ ด้วยเช่นกัน
27. ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ วิธีนี้ช่วยลดภาวะตึงเครียด สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ การนอนง่ายคือบังคับควบคุม ความรู้สึกของสายตาและ ไม่คิดอะไรอีกต่อไป ได้สำเร็จ ขณะนอนหลับ สัมผัสทั้งห้าของเราถอดสายปลั๊ก ตามธรรมชาต ิเริ่มต้น จากการมอง การรับกลิ่น การรับรส การสัมผัส และสุดท้ายการได้ยิน
28. อาบน้ำร้อน โดยค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นจาก 35 ถึง 39 องศาเซลเซียส การทำเช่นนี้มี ปฏิกริยากล่อมประสาทให้ง่วงนอน (สำหรับแปดในสิบหน) คุณสามารถเติมสมุนไพร สกัดลงในอ่างน้ำร้อนได้ แต่เพื่อความเพลิดเพลิน เท่านั้น เพราะมีเพียงความร้อนเท่าน้นที ทำปฏิกริยา คุณเพียงแต่แช่ เท้าใน น้ำร้อน ก็ได้ ซึ่งจะต่อเนื่องถึงอุณหภูมิของร่างกาย และมีผลผ่อน คลายกลุ่ม ร่างแหเส้นประสาท หรือเส้นโลหิต หรือหลอดน้ำเหลือง ให้ปฏิบัติ ก่อนเข้านอน
29. เพียงแค่วางมือทั้งสองข้างบนหน้าท้อง ความร้อนจากมือช่วยผ่อนคลาย อวัยวะภาย ในช่องท้องที่ ขวางการไหลเวียนพลังงาน
30. อย่าคาดหมายล่วงหน้า พยายามอย่านึกคิดล่วงหน้าถึง การนัดหมาย สำคัญทาง อาชีพการงานใน วันรุ่งขึ้น แนวคิดคือเข้านอนดึกด้วย ความกังวลจะทำให้ คุณหลับ ไม่ลง
31. ผ่อนคบายตัวเองด้วยการหลับตาและจินตนาการถึงการอาบน้ำ ฝักบัวเย็น ฉ่ำ ที่ราดรด ลงมาจาก ศีรษะแล้วไหลไปตามลำคอ นำพาความเครียดทั้งวัน ที่ผ่านมาให้ไหลไปตามทางน้ำ หรือใช้วิธีหายใจลึก ๆ อย่างรู้สติเป็นชุด ๆ ผสานกับการคิดแต่ในแง่ดี ("ฉันยอมหลับอย่างวางใจ" "ฉันรู้สึกผ่อนคลาย เต็มที่")
32. สามชั่วโมงก่อนนอน บอกเลิกกิจกรรมทุกยอ่างที่คร่ำเคร่งแบะใช้สติปัญญา หยุดอ่านหนังสือถ้ามัน จุดจินตนาการของคุณให้ทำงาน ผลักดันให้ฝันหรือ ใช้ความคิดใคร่ครวญ
33. พยายามคอยสังเกตสิ่งที่คุณทำแล้วหลับได้สนิทดี จะได้นำมาใช้ใหม่ ในค่ำคืน ที่นอนไม่หลับสักที

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เทศกาลกินเจ : )))

เทศกาลกินเจ (จีน: 九皇爺; อังกฤษ: Nine Emperor Gods Festival) หรือบางแห่งเรียกว่า ประเพณีถือศีลกินผัก เป็นประเพณีแบบลัทธิเต๋ารวม 9 วัน กำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือ เริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนของทุกปี มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีนมานานแล้ว โดยมีตำนานเล่าขานกันหลายตำนาน ปัจจุบัน เทศกาลกินเจจัดขึ้นในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ตลอดจนหมู่เกาะรีออในอินโดนีเซีย ซึ่งการกินเจในเดือน 9 นี้ เชื่อกันว่าน่าจะเกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 2170 ตรงกับสมัยอาณาจักรอยุธยา




วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สายตาสั้นนั่งหน้าจอนานระวังต้อหิน


ดร. มาซากิ ตาเตมิชิ อาจารย์โรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัยโตโฮของญี่ปุ่น ได้นำเสนอว่า นอกจากการสูบบุหรี่ และโรคความดันโลหิตสูงแล้ว การนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นโรคสายตาสั้นได้เหมือนกัน สำหรับคนที่มีสายตาสั้นอยู่แล้ว ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของประสาทตาเพิ่มมากขึ้น แล้วอาจจะส่งผลให้เป็นโรคต้อหินได้


คณะวิจัยของ ดร. มาซากิ ตาเตมิชิ ได้ทดลองทำแบบสอบถามกับพนักงานที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ พบผู้มีปัญหาในเรื่องสายตาอยู่ 5% และหลังจากทำการตรวจสายตาอย่างละเอียดพบว่า มีผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นต้อหิน
อยู่ 1 ใน 3 จึงสันนิษฐานได้ว่าผู้ที่มีสายตาสั้นแล้วต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ เป็นเวลาติดต่อกัน อาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อหินได้

ต้อหินเกิดได้จากหลายๆ สาเหตุ เช่น
1. การใช้ยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ติดต่อกันนานๆ จะทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้นและเกิดเป็นต้อหินได้
2. อุบัติเหตุต่อตา เช่น ตีแบดมินตันหรือเทนนิส แล้วถูกลูกแบดมินตันหรือลูกเทนนิสกระแทกใส่ตา ทำให้เกิดแผลภายในลูกตา ทำให้น้ำภายในลูกตาระบายออกไม่ได้ ก่อให้เกิดความดันสูงขึ้นและเกิดต้อหินได้
3. ม่านตาอักเสบ ช่วงที่มีการอักเสบ จะมีปฏิกิริยาภายในน้ำหน้าเลนส์ตา ส่งผลให้โปรตีนหรือเม็ดเลือดขาวลอยไปอุดรูระบายของน้ำภายในลูกตา ทำให้ความดันตาสูงขึ้นได้
4. สาเหตุอื่นๆ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ที่ไม่เคยได้รับการตรวจจอประสาทตาจากจักษุแพทย์ จนกระทั่งเกิดเบาหวานขึ้นจอตา


การป้องกันและสังเกตตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงต้อหิน
ระยะแรกๆ ต้อหินจะไม่มีอาการใดๆเลย บางรายอาจมีอาการปวดตาบางครั้ง ซึ่งมีสาเหตุหลายอย่าง เช่น ใช้คอมพิวเตอร์นานๆ และส่วนใหญ่แพทย์มักวินิจฉัยต้อหินเมื่อมีอาการมากแล้ว

ดังนั้น ใครก็ตามที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปจำเป็นต้องไปตรวจตากับจักษุแพทย์ประมาณปีละ 1 ครั้ง
สำหรับคนที่เป็นต้อหินระยะแรกอาจจะมีอาการปวดตาข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้ หรือมองเห็นแสงสีรุ้งรอบดวงไฟ

หน้าหนาวแล้ว มารู้เรื่องโรคกันเถอะ ^^

10 โรคร้ายที่แฝงมากับลมหนาว

ในปัจจุบันคนเราต้องเผชิญกับผลกระทบหลายอย่างอันเกิดจากภาวะโลกร้อน ที่ทำให้สภาพอากาศทั่วโลกมีความแปรปรวน บางพื้นที่อาจมีอากาศหนาวมากขึ้นทั้งที่อยู่ในเขตร้อน บางพื้นที่กลับมีอากาศร้อนขึ้นทั้งที่อยู่ในเขตหนาว หรือบางพื้นที่ก็เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับกันไป ซึ่งสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้เอง ทำให้ร่างกายของเราปรับตัวตามไม่ทัน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในทุกเพศทุกวัย

อาจกล่าวได้ว่าเสื้อผ้ากันหนาวอาจจะขายดีในช่วงนี้ ในพื้นที่ทางภาคเหนืออาจจะพอได้ใช้ป้องกันหนาว แต่ในบางพื้นที่ก็แทบจะไม่ได้ใช้เลย ผลกระทบจากอากาศที่หนาวเย็นมากขึ้น ทำให้ระดับอุณหภูมิมีแนวโน้มลดต่ำลงเรื่อย ๆ และเหมือนว่าจะยาวนานกว่าทุก ๆ ปี บางคนอาจจะไม่ค่อยรู้สึกกับการเปลี่ยนแปลงนี้ เพราะคิดว่าเดี๋ยวคงจะหนาวไม่นาน และคิดว่าร่างกายตนเองแข็งแรงดีอยู่แล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ความเชื่อที่ว่านี้ต้องระวัง!! จากการติดตามสถานการณ์ในฤดูหนาวที่ผ่านมาโดยกระทรวงสาธารณสุขนั้น พบว่า ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2550 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2551 มีผู้ป่วยจากโรคฤดูหนาวรวมกันทั่วประเทศกว่า 515,580 ราย พบว่ามีการเสียชีวิต 315 ราย โดยพบว่าป่วยเป็นโรคอุจจาระร่วงมากที่สุดคือ 442,187 ราย รองลงมาเป็นโรคปอดบวม-ปอดอักเสบ และโรคอีสุกอีใส นอกจากนี้ก็ยังพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ โรคหัด และหัดเยอรมันด้วย ดังนั้นเพื่อให้รู้ทันโรคร้ายที่อาจแฝงมาพร้อมกับอากาศที่หนาวเย็น จึงควรรู้ไว้ว่ามีโรคอะไรบ้างที่ต้องเตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้า

1. โรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย สามารถติดต่อกันได้ทางการหายใจ ไอหรือ จามรดกัน เชื้อมักแพร่กระจายในสถานที่แออัดไม่มีอากาศถ่ายเท เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า ตลาดสด โดยอาการจะเริ่มต้นจากการมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บหรือแสบคอ บางคนอาจหนาวสั่น แต่ถ้าเป็นการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ก็มักจะมีอาการรุนแรงกว่าการติดหวัดธรรมดา คือ ไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะมาก ปวดตามกล้ามเนื้อ ตามกระดูก คลื่นไส้ กินได้น้อยลง ร่วมกับอาจมีภาวะขาดน้ำหากมีอาการอาเจียนร่วมด้วย และควรระวังโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมา เช่น ปอดบวม หลอดลมอักเสบ คออักเสบ ในเด็กเล็กและผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงมากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ

2. โรคหลอดลมอักเสบ เป็นโรคที่อาจเกิดตามหลังไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส จะมีอาการไอและไอมากตอนกลางคืน โดยระยะแรกจะไอแห้ง ๆ มีเสียงแหบและเจ็บหน้าอกมาก เสมหะมีสีเหลืองหรือเขียว มีไข้ อ่อนเพลีย ในเด็กอาจไอมากจนอาเจียน บางรายมีอาการคล้ายหอบหืดจากภาวะหลอดลมหดเกร็งตัว โดยปกติโรคนี้สามารถหายได้เองภายใน 1-3 สัปดาห์ แต่บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ก็อาจลุกลามถึงขั้นปอดอักเสบได้ การรักษาเบื้องต้น คือการพักผ่อนให้มาก ควรดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ เพื่อช่วยให้เสมหะระบายออกได้ง่ายขึ้น หลีกเลี่ยงดื่มน้ำเย็น งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงอยู่ในที่ ที่มีอากาศเสียหรือฝุ่นละอองมาก ๆ

3. โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ เป็นโรคที่อาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้หวัดหรือติดจากเชื้อโดยตรงได้ ปอดบวมมักพบในเด็ก สามารถติดต่อได้ทางการหายใจ น้ำมูก น้ำลาย และใช้ของร่วมกัน มีระยะฟักตัวของโรค 1-3 วัน และอาจนานถึง 1 สัปดาห์ในบางราย โรคปอดบวมเป็นโรคที่ควรระวังเป็นอย่างมาก เพราะในปีที่ผ่านมาพบว่าโรคนี้เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของกลุ่มโรคติดเชื้อในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กแรกเกิดถึงขวบปีแรก อาการจะเกิดตามหลังโรคหวัดประมาณ 2-3 วัน ดังนั้นหากพบว่าสงสัยหรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับอาการโดยเฉพาะในเด็กเล็กให้ควรนำมาปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ

4. โรคหัด พบมากในเด็กอายุตั้งแต่ 1-6 ขวบ ติดต่อได้จากการไอ จามรดกัน หรือได้รับละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย เข้าไป โรคหัดมักเกิดในช่วงฤดูหนาวยาวต่อช่วงฤดูร้อน ปัจจุบันมีวัคซีนสำหรับฉีดป้องกัน อาการของโรคหัดจะเริ่มจากมีไข้ น้ำมูก ไหล ไอ ตาแดง อาการจะรุนแรงมากขึ้น จนมีอาการปวดเมื่อยตัว ถ่ายเหลว ผื่นของไวรัสหัดจะขึ้นราววันที่ 4 หลังรับเชื้อ หลังจากนั้นไข้จะค่อย ๆ ลด เมื่อผื่นกระจายทั่วตัว ระหว่างนั้นต้องระวังการเสียชีวิตจากภาวะโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ อุจจาระร่วง สมองอักเสบ และภาวะทุพ โภชนาการ

5. โรคหัดเยอรมัน เชื้อไวรัสหัดเยอรมัน ทำให้มีไข้ต่ำจนถึงไข้สูง มีผื่นแดงคล้ายหัด แต่ลักษณะผื่นจะใหญ่และเป็นกลุ่ม ๆ กระจายตัวห่างกว่า ในเด็กเล็กจะมีอาการไม่รุนแรงเท่าในผู้ใหญ่ โดยเฉลี่ยจะมีอาการประมาณ 1-5 วัน มีไข้ ผื่นแดงตามตัว อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร สิ่งสำคัญคือ ต้องระมัดระวังไม่ให้ติดเชื้อในระหว่างการตั้งครรภ์

6. โรคอีสุกอีใส พบว่ามักเกิดในเด็ก แต่พบได้น้อยในผู้ใหญ่ อาการแรกเริ่มจะมีไข้ต่ำ ๆ เหมือนไข้หวัด หลังจากนั้นจะมีผื่นแดง ตุ่มนูนขึ้น และจะเปลี่ยนเป็นตุ่มพองใสประมาณ 2-3 วันนับตั้งแต่เริ่มมีไข้ หลังจากนั้นตุ่มพองใสก็จะกลายเป็นตุ่มหนอง แล้วค่อย ๆ เริ่มแห้งตกสะเก็ด ทั้งนี้ ผื่นอาจขึ้นได้ในคอ ตา และปาก ทำให้กินอาหารได้น้อย เกิดอาการขาดน้ำ โดยทั่วไปหากได้รับการดูแลที่เหมาะสม โรคจะสามารถหายได้โดยตัวเองโดยไม่เกิดโรคแทรกซ้อน

7. โรคอุจจาระร่วง สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสหลายชนิด และมักพบผู้ป่วยได้มากในหน้าหนาว สามารถติดต่อได้จากการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อนเข้าไป นอกจากนี้ยังติดต่อทางน้ำลาย น้ำมูกได้เช่นกัน ลักษณะอาการจะถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเหลวบ่อยครั้ง แม้อาการไม่รุนแรง แต่อาจมีอาการขาดน้ำรุนแรงได้ในบางราย ภาวการณ์การติดเชื้อมักพบได้ในชุมชน ศูนย์ฝากเลี้ยงเด็ก หรือสถานที่ที่มีเด็กอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากๆ ดังนั้น การออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารปรุงสุก ดื่มน้ำสะอาด ก็จะเป็นการป้องกันโรคอุจจาระร่วงได้

8. โรคตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในหน้าหนาวเช่นกัน สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสคนละชนิดกับโรคตาแดงที่เกิดขึ้นในหน้าร้อน การสัมผัสกับเชื้อมักเกิดจากมือที่สกปรก ไปหยิบจับ หรือสัมผัสกับขี้ตา น้ำตาของผู้ที่เป็นโรคแล้วมาป้ายตา ตัวเอง โรคตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบสามารถระบาดได้ง่ายโดยเฉพาะในเด็กนักเรียน ส่วนการป้องกันให้หมั่นล้างมือให้สะอาด ไม่เอามือขยี้ตา ไม่คลุกคลีกับคนเป็นโรค เมื่อเป็นโรคควรหยุดงานหรือหยุดเรียน เพื่อไม่ไห้ติดต่อไปยังผู้อื่น

9. โรคผิวหนังแห้งอักเสบ เมื่อผิวกระทบอากาศเย็น ทำให้มีความชื้นสัมพัทธ์น้อยและแห้ง การสูญเสียน้ำออกจากผิวหนังก็จะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผิวหนังเกิดปัญหาแห้งหยาบ เป็นขุย แตก ปัญหานี้ถือว่าเป็นปัญหาที่ก่อความรำคาญ เพราะเมื่อผิวแห้งมากจะรู้สึกคัน ยิ่งอากาศหนาวมาก ๆ จะยิ่งแสบร้อนและคัน หากดูแลไม่ดีอาจเกิดแผลอักเสบจากการเกาจนเลือดออก และมีสิ่งสกปรกเข้าแผลจนเกิดการติดเชื้ออักเสบขึ้นได้ การป้องกัน คือการรักษาความชุ่มชื้นจากภายในและภายนอกร่วมกัน โดยการดื่มน้ำและผลไม้ให้มากขึ้น เปลี่ยนรูปแบบและวิธีการอาบน้ำ โดยลดอุณหภูมิของน้ำลงไม่ควรอาบน้ำร้อนเกิน 34 องศาเซลเซียส ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์หลังอาบน้ำ หากมีผิวแห้งมาก ๆ แนะนำให้ใช้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นได้นาน และหากผิวหนังแห้งอักเสบรุนแรงหรือคันมาก ๆ ให้รีบไปพบแพทย์

10. โรคผิวหนัง เช่น เชื้อรา กลาก เกลื้อน การแพ้ทางผิวหนัง จากเสื้อกันหนาวหรือเครื่องนุ่งห่มมือสอง ผู้ที่นิยมชมชอบเสื้อผ้ามือสองต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะแม้ว่าราคาของเสื้อมือสองจะค่อนข้างถูกกว่า แต่ไม่ทราบแน่ชัดถึงที่มา จึงมั่นใจไม่ได้ว่ามีความสะอาดหรือไม่ ทั้งยังอาจนำพาโรคมาสู่ผิวหนังได้อีกด้วย ดังนั้น จะต้องสืบหาที่มาของเสื้อผ้าเหล่านั้นเสียก่อน หรือต้องทำความสะอาดให้ถูกวิธี เช่น การซักล้าง การต้มฆ่าเชื้อ การตรวจสอบรอยด่างดำ รอยคราบสารคัดหลั่ง รวมไปถึงกลิ่นอับชื้นที่ติดอยู่ เพราะนอกจากเชื้อราแล้ว โรคตับอักเสบหรือไวรัส บางชนิด อาจส่งผลร้ายต่อผิวหนังได้ ดังนั้น ควรมีการต้มให้เดือด ซักล้างให้สะอาด ฆ่าเชื้อก่อนและนำไปตากแดดให้แห้งสนิท ก็จะช่วยสร้างความแน่ใจให้กับผิวหนัง

การเตรียมตัวพร้อมรับมือกับ 10 โรคร้าย ที่อาจแฝงมากับหน้าหนาวในปีนี้ จึงควรรู้จักกับโรคต่าง ๆ เอาไว้ให้รู้จักวิธีการป้องกันและดูแลรักษาในเบื้องต้น หมั่นแบ่งเวลาให้มีการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม รับประทานอาหารที่สุกและสะอาด ในสัดส่วนที่เหมาะสม ครบทั้ง 5 หมู่ หลีกเลี่ยงสัมผัสกับผู้ป่วย ที่ไม่สบาย คุณแม่ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพื่อให้มีภูมิต้านทานกับทารก สวมหน้ากากป้องกันการไอ จามรดใส่กัน ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปทั่ว นอกจากนี้แล้ว การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยการฉีดวัคซีนก็ยังถือว่ามีความจำเป็น ทั้งวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส โรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม และไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น

การเตรียมตัวเพียงไม่กี่ข้อนี้ จะถือว่าเป็นคาถาวิเศษสำหรับป้องกันโรคที่แฝงมากับหน้าหนาวในปีนี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มหัศจรรย์ ของ กรุ๊ปเลือด ^^



กระแสความแรงของญี่ปุ่นเกาหลี เข้ามาเมืองไทยเสียทุกเรื้อง อะไรที่ประเทศเขาอิตกันเมืองเป็นได้ฮิตตามกันทุกที อย่างตอนนี้ในประเทศญี่ปุ่นกำลังฮ๊อตฮิตเรื่อง กรุ๊ปเลือดสุดๆ เพราะมันสามารถบอกได้ว่าแต่ละกรุ๊ปเลือดนั้นมีลักษณะบุคลิกและนิสัยเป็นแบบใด ไม่เว้นแม้กระทั้งเรื่องของ เงินๆ ทองๆ

ความรู้เรื่องกรุ๊ปเลือดดูผิวเผิยจะออกไปทางดูดวงเล็กด้วยแต่จริงๆแล้ว ประเทศญี่ปุ่นนั้นมี การรวบรวมสถิติเกี่ยวกับลักษณะคนประเภทต่างๆ โดยแยกแยะเป็นกรุ๊ปเลือดซึ่งจะเป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่กำหนดพฤติกรรมต่างๆ ไว้ ซึ่งวันนี้เราจะมาวิเคราะห์เจาะลึกเรื่องการเงินในกระเป๋ากัน

มหัศจรรย์กรุ๊ปเลือด กรุ๊ป A

คนเลือด กรุ๊ป A โดยทั่วไปแล้วจะเป็นคนที่มีคต่อยข้างระเบียบในชีวิตมากมาย มีความคิดเป็นระบบเหมือนลิ้นชัก มีความรับผิดชอบสูง และชอบคิดว่าเรื่องของคนอื่นคืองานของตนเอง ที่สำคัญติดหลงตัวเองนิดๆ พอน่ารัก ส่วนนิสัยการเงิน-กรุ๊ปเอเป็นกรุ๊ปที่เก็บ เงินได้เก่ง มีเงินเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก็เอาเข้าบัญชี แต่ทว่าเมื่อถึงคราวที่จะต้องใช้ก็มักจะเทออกมาหมดหน้าตักจนเกลี้ยงกระเป๋า เลยทีเดียว ที่สำคัญคนกรุ๊ปเอมักเชื่อว่าตนเองนั้นรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่บางทีทิฐิมานะควรเอาไปใช้ให้ถูกทางดีกว่า

นอก จากนั้น เวลาช้อปปิ้ง คนกรุ๊ปเอจะมีรสนิยมสูง นิยมของแบรนด์เนม แต่เมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าดูแล้วก็มักมีแต่เสื้อผ้าที่เหมือนๆ กันไปหมด

มหัศจรรย์กรุ๊ปเลือด กรุ๊ป B

สาว กรุ๊ป B จะมีนิสัยเป็นหัวใจศิลปิน เธอผู้นี้ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลทั้งปวง แม้ว่าจะตกลงไปเที่ยวกันอย่างดิบดีแล้ว เธอก็อาจจะไม่ไปเสียดื้อๆ ส่วนข้อดีของเธอคือการเป็นนักสร้างสรรค์ที่หาตัวจับยาก และพูดตรงจนใครๆ กลัวเชียวล่ะ

นิสัย การเงิน-เนื่องจากเธอคนนี้ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ บางครั้งก็ประหยัดจนไส้กิ่วแต่บางครั้งก็ซื้อของหรูหราได้อย่างไม่เสียดาย เงิน เพราะเพียงว่าเธออยากได้แค่นั่นเอง

และบางครั้งก็ มักทำเรื่องผิดพลาดทางการเงินง่ายๆ ประเภทเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย (เป็นประจำ) ส่วนใหญ่จะเก็บเงินได้ดียามที่มีกฏข้อบังคับ เช่น ฝากประจำ เล่นแชร์ เป็นต้น

มหัศจรรย์กรุ๊ปเลือด กรุ๊ป O

คนที่มีกรุ๊ป O จะมีเพื่อนเยอะ มีความยืดหยุ่นสูงร่วมกับความโลเลบ้างในบางครั้ง ค่อนข้างจะถนอมน้ำใจคนอื่นๆ มากกว่าที่จะว่ากล่าวไปตรงๆ แต่เมื่อระเบิดแล้วใครๆ ก็ห้ามไม่อยู่

นิสัยการเงิน-คนกรุ๊ปโอไม่โผงผางออกจะเป็นคนเรื่อยๆ มากกว่า ดังนั้น เรื่องการเงินจะค่อนข้างมีระเบียบวินัยกว่ากรุ๊ปอื่นๆ แต่มักไปเสียเงินเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น หนังสือการ์ตูน กระเป๋าย่ามใบเล็กๆ หรือแม้แต่กิ๊บติดผม ที่สำคัญคนกรุ๊ปนี้มักมีเงินแอบเก็บก้อนโตไว้เสมอ จึงมักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเงินทอง

มหัศจรรย์กรุ๊ปเลือด กรุ๊ป AB

เป็น สาวที่คิดอะไรไม่เหมือนใคร ชอบเอาตนเองไปผูกพันกับความรู้สึกของคนอื่น แต่มักสร้างเกราะกำบังตัวเอง ไม่ชอบเปิดใจให้แก่ใครนัก ทำให้คุณเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย

นิสัยการเงิน-ด้วย ลักษณะนิสัยที่เป็นคนคิดเยอะ เวลาใครชวนทำประกันชีวิตหรือกองทุนต่างๆ ก็มักปฏิเสธหรือไม่ให้คำตอบ แถมความคิดมากนั้นไม่ค่อยออกมาเป็นรูปธรรมสักเท่าไร มักคิดแล้วก็หลงลืมไปปล่อยให้เป็นปัญหาคาราคาซังอยู่อย่างนั้น แต่กรุ๊ปเอบีบางคนก็เป็นสุดยอดในการหมุนเงินที่หาตัวจับยากทีเดียว


วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อาหารต้านความชรา














มะเขือเทศ และซอสมะเขือเทศ มีสารที่เรียกว่า “ไลโคพีน” ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ มะเร็งบางชนิด และโรคจอประสาทตาเสื่อม

มันเทศ ฟักทอง และแครอต รับ ประทานผักและผลไม้สีเหลืองอย่างน้อยวันละสองถ้วยจะช่วยให้ร่างกายได้รับเบ ต้า-แคโรทีน จำเป็นต่อผิวหนังและดวงตา ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลาย หรือแม้แต่ลดริ้วรอยได้

บูลเบอร์รี่ และองุ่นม่วง มีสารแอนโธไซยานินช่วยกระตุ้นความจำ และการรับรู้

บล็อกโคลี่ มีสารซัลโฟราเฟน ช่วยชำระล้างสารพิษในร่างกาย โดยเฉพาะบล็อกโคลี่ต้นอ่อนที่มีอายุเพียงแค่ 3 วัน

ผักโขม และผักใบเขียว ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้ถึง 11 เปอร์เซ็นต์

แซลมอน ซาร์ดีน และทูน่า รับประทานปลาที่มีโอเมก้า3 สองมื้อต่อสัปดาห์ทำให้หัวใจมีสุขภาพดี ช่วยลดปัญหาเรื่องการทำงานของสมองเสื่อมตามวัยได้

แอปเปิ้ล (ทั้งเปลือก) มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องสมองจากการถูกทำลาย

ชาเขียว เช่นเดียวกับชาดำ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม

ขิง ขมิ้น และเครื่องเทศ ช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรัง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์

ช็อกโกแลต โกโก้ ช่วยลดคอเลสเตอรอล LDL และลดความเสี่ยงจากเลือดจับตัวเป็นก้อน

ไข่ ลืมข้อเสียเรื่องคอเลสเตอรอลที่เคยเชื่อกันมานานนมไปได้เลย เพราะไข่มีครบทั้งเกลือแร่ วิตามินและโปรตีน ไข่แดงยังอุดมไปด้วยคาโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม

ข่าวดีของเด็กไทย :))

หลังจากทราบข่าว เด็กไทยที่ไปคว้าแชมป์โลกแข่งขันใช้งานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ประเทศแคนาดา สร้างผลงานเสร็จใน 7 นาทีจากเวลาที่กำหนด 50 นาที คว้าเงินรางวัล 6,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้รู้สึกทึ่งในความสามารถของเด็กคนนี้จน ต้องไปหาข้อมูลมาให้เพื่อนๆที่ยังไม่ทราบข่าวได้รู้จักว่า เขาคือ


นายกานกวิญจน์ โค้วสีหวัฒน์ หรือ น้องเค นักเรียนอายุ 17 ปี นักเรียนชั้นม.5 โรงเรียนศรีวิกรม์ จากประเทศไทย เป็นผู้ชนะเลิศการแข่งขันทักษะการใช้โปรแกมไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ เวิร์ด 2007 ในรายการWorldwide Competition on Microsoft Office ซึ่งเป็นรายการที่มีผู้เข้าแข่งขันมากที่สุดในปัจจุบัน โดยในการแข่งขันปีที่ 8 ครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมการแข่งขันถึง 80,000 คน จาก 53 ประเทศทั่วโลก ซึ่งต้องผ่านการคัดเลือกตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ประเทศ ก่อนที่จะมาชิงชนะเลิศกันที่โทรอนโต แคนาดา



ดร.รุ่งเรือง สุขาภิรมย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่าการแข่งขันรายการนี้ เป็นการแข่งขันการใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรม ไมโครซอฟต์ เวิร์ด 2007 วิธีการแข่งขันคณะกรรมการจะให้โจทย์ที่ผู้เข้าร่วมแข่งขันแต่ละคนจะต้องใช้ โปรแกรมดังกล่าวในการสร้างผลงานตามที่กำหนดภายในเวลา 50 นาที แต่น้องเค-กานกวิญจน์สามารถทำเสร็จได้อย่างถูกต้องภายในเวลาเพียง 7 นาที จึงคว้ารางวัลชนะเลิศมาครองเป็นผลสำเร็จ

"น้องเคจัดเป็นเด็กอัจฉริยะ ชอบอ่านหนังสือมากมาตั้งแต่เด็กๆ โดยอ่านสามก๊กจบตั้งแต่อยู่ป.1 รวมถึงชอบอ่านหนังสือประเภทประวัติศาสตร์โลก จนป.5 เริ่มสนใจและชอบอ่านหนังสือกฎหมาย ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและอาญา ศึกษาด้วยตนเองมาเรื่อยๆ จนประมาณ ม.3-4 ลงทะเบียนเรียนนิติศาสตร์แบบพรีดีกรี ที่ม.รามคำแหง ส่วนคอมพิวเตอร์สนใจมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน ราวป.6 สามารถสร้างเว็บไซต์และเขียนโปรแกรมด้วยตนเอง" ดร.รุ่งเรืองกล่าว

ดร.รุ่งเรือง กล่าวอีกว่า ในอนาคตหลังสำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้ว น้องเควางแผนที่จะสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวะคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ควบคู่กับการนำหน่วยกิตที่เรียนนิติศาสตร์หลักสูตรพรีดีกรีมาเทียบโอน เพื่อศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงและศึกษาต่อเนติบัณฑิตไทย โดยฝันอยากที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์และที่ปรึกษาด้านกฎหมาย

ต้องขอขอบคุณความร่วมมือของสถาบันไอทีไอที บริษัท เอ. อาร์. ไอที จำกัด บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) และอุทยานการเรียนรู้ หรือทีเคปาร์ค ที่ได้จัดโครงการการจัดการแข่งขัน MOS Olympic Thailand Competition มาตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบัน2552 ( ครั้งที่ 7 ) โดยวัตถุประสงค์เพื่อให้เยาวชนได้แสดงความรู้ ความสามารถ และเห็นความสำคัญการใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟท์ออฟฟิศ อีกทั้ง เป็นตัวแทนประเทศไทยสร้างชื่อเสียงให้สถาบันการศึกษาก้าวสู่ระดับสากล และเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก


วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เครียด เครียด เครียด -0-



เมื่อคุณเผชิญภาวะเครียดทางอารมณ์ คุณคงอยากให้อารมณ์เครียดหมดไปอย่างรวดเร็ว เพราะภาวะ เครียดนี้จะทำให้คุณเป็นคนที่ไม่น่าคบหาสมาคม คุณก็ทราบดีว่า อารมณ์ชนิดนี้ไม่มีใครต้องการแม้แต่ตัว
คุณเองก็เถอะ เมื่อเกิดอารมณ์ร้ายขึ้นแล้วก็จะทำให้คุณค่าในตัวคุณด้อยลง อย่างมากเทียวค่ะ กริยา วาจา ที่ไม่เหมาะสมก็จะแสดงออกมา เพาะฉะนั้นคุณควรจะมีวิธีการจัดการ กับอารมณ์ร้ายนี้ และต่อไปนี้เป็น ข้อแนะนำบางประการ

๑. หาใครสักคนที่คุณไว้ใจ ระบายความรู้สึก รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่ทำให้คุณเกิดความไม่พอใจทำให้คุณไม่
สบอารมณ์ คนที่คุณไว้ใจได้ เช่น พ่อ แม่ ภริยา-สามี พี่น้อง เพื่อนสนิท หรือครูบาอาจารย์ ฯลฯ การที่มีคน
รับฟังคุณ แค่นี้ก็เป็นการระบายปัญหาที่คุณมีอยู่แล้วค่ะ ระหว่างที่คุณ ระบายเรื่องราวต่าง ๆ นั้น คุณก็อาจ จะได้คำตอบของปัญหานั้น ๆ พร้อมกันก็ได้

๒. หลีกเลี่ยงอารมณ์เครียด ด้วยการหากิจกรรมอย่างอื่นทำเพื่อจะได้พบกับสิ่งที่ทำให้คุณไม่สบอารมณ์สัก
ระยะหนึ่ง ด้วยการเล่นกีฬาที่คุณชอบ ไปพักผ่อนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เดินชอบปิ้งตามห้างสรรพสินค้าอ่าน
หนังสือที่คุณชอบ ฯลฯ การได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ จะทำให้คุณลืมคิดถึงเรื่องทรมานใจ และมีข้อแนะนำ
ว่ากิจกรรมที่คุณเลือกนั้น คุณต้องทำด้วยความตั้งใจจริง ด้วยความชอบจริง ๆ คุณจึงประสบผลสำเร็จในการ
เอาชนะอารมณ์เครียดของคุณ การได้ละความสนใจจากเรื่องเครียด ๆ จะทำให้คุณมีอารมณ์สุขุม มีสติปัญญา
ไตร่ตรองปัญหาอย่างรอบคอบและกลับมาต่อ สู้ปัญหาอย่างใจเย็นต่อไป

๓. พยายามระงับอารมณ์โกรธลงในเวลาอันรวดเร็วที่สุด เพราะอารมณ์โกรธจะทำให้ความ
คิดมืดมน อาจแสดงอาการหรือพฤติกรรมที่ไม่ดี อันจะมำให้เกิดความเสียใจได้

“ รักยาวให้บั่น ” เราจะต้องบั่นทอนการเฉยเมยต่อเพื่อนฝูง การวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่จำเป็น การพูดจา
ไม่สุภาพ การกระทบกระเทียบ เสียดสี แดกดัน คำด่าที่รุนแรงเผ็ดร้อน และการผิดนัดหมาย ฯลฯ ทิ้งไปเสีย

“ รักสั่นให้ต่อ ” เพื่อกระชับระยะทางของการสร้างมิตรภาพให้สั้นเข้ามาหรือใกล้ชิดยิ่งขึ้น เราจะต้อง
“ ต่อสายใยมิตรภาพ ” ด้วยการให้ความสำคัญ สนใจใยดีต่อความสุขความทุกข์ของเพื่อน ชมเชยและดีใจ ด้วยเมื่อเพื่อนได้รับสิ่งสวยงาม หรือได้รับความสำเร็จ พูดจาด้วยถ้อยคำสุภาพ มองด้วยสายตาที่เป็นมิตร
ไม่ผิดนัดหมายโดยไม่จำเป็น

เพียงเท่านี้ทางสายมิตรภาพที่ต้องการก็จะยืนยาว จนเป็นอมตะนิรันดร์กาลได้เลยทีเดียว

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

หลายๆ ครั้ง ไม่ดีนะ ^^


โทษของน้ำต้มเดือดหลายๆ ครั้ง
น้ำประปามีแร่ธาตุหลายชนิด
เมื่อต้มเดือดแล้วเดือดอีกหลายๆ ครั้ง
น้ำจำนวนมากจะระเหยกลายเป็นไอ ส่วนที่เหลือ
จึงมีปริมาณแร่ธาตุ ชนิดต่างๆ เข้มข้นขึ้นมาก
และเกินมาตรฐานการบริโภค น้ำที่ต้มเดือดนานๆ
ไอออนของซิลเวอร์ไนเตรทที่อยู่ในน้ำ
จะเปลี่ยนเป็นซิลเวอร์ไนไตรท์
ซึ่งเป็นสารที่ให้โทษแก่ร่างกาย
และแร่ธาตุบางอย่างที่เป็นโทษต่อร่างกาย
จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเพราะการระเหยของน้ำ
และอาจมากจนเกินขีดจำกัด ความสามารถของร่างกาย
ในการกำจัดขับถ่ายออกมา
จึงไม่ควรดื่มน้ำที่ ต้มเดือดแล้วหลาย ๆ ครั้ง