วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Merry Chrismas !


คริสต์มาส (อังกฤษ: Christmas) หรือ วันคริสต์มาส (อังกฤษ: Christmas Day; หรือเรียกว่า Christ's mass, Nativity, Yuletide, Noel,Winter Pascha, Xmas) เป็นเทศกาลประจำปี ซึ่งในศาสนาคริสต์ จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู คริสต์มาสตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี แต่ก็ไม่เป็นที่เชื่อกันว่าเป็นวันประสูติของพระองค์จริง สำหรับสาเหตุที่เลือกวันดังกล่าวแต่เดิมมีอยู่หลายประเด็น ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า วันนี้เป็นเวลาเก้าเดือนพอดีหลังจากนางมารีย์รับการประสูติของพระเยซู ตรงกับเทศกาลบูชาสุริยเทพของโรมันโบราณ หรือไม่ก็ตรงกับเหมายันในซีกโลกเหนือ ในทางคริสต์ศาสนา คริสต์มาสเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งเป็นวันหยุดยาว 12 วัน

ถึงแม้ว่าแต่เดิมคริสต์มาสจะเป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองโดยคริสเตียน แต่ผู้ที่มิได้นับถือศาสนาคริสต์จำนวนมากก็ได้จัดงานเฉลิมฉลองคริสต์มาสอย่างกว้างขวาง วัฒนธรรมสมัยใหม่ของคริสต์มาส รวมไปถึง การให้ของขวัญ เพลงคริสต์มาส การแลกเปลี่ยนการ์ดคริสต์มาส การตกแต่งโบสถ์คริสต์ การรับประทานอาหารมื้อพิเศษ และการตกแต่งบรรยากาศ เช่น ต้นคริสต์มาส มิสเซิลโท ฮอลลี่ เป็นต้น และยังมีตำนานอันเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายเกี่ยวกับซานตาคลอส(หรือ ฟาเธอร์คริสต์มาส) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการให้ของขวัญแก่เด็ก ๆ

เนื่องจากการให้ของขวัญและผลกระทบจากเทศกาลคริสต์มาสได้ทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างมาก ทั้งในกลุ่มคริสเตียนและผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียน วันดังกล่าวจะกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญและช่วงเวลาของสินค้าลดราคาสำหรับผู้ค้าปลีกและธุรกิจ ผลกระทบทางเศรษฐกิจของคริสต์มาสเป็นปัจจัยซึ่งเติบโตขึ้นอย่างคงที่ตลอดเวลาหลายศตวรรษที่ผ่านมาในหลายภูมิภาคของโลก

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อย่างไหนดีกว่ากัน ^^




น้ำ กับ (น้ำสีดำ)








ถ้าท่านรู้เรื่องนี้ ท่านจะดื่มน้ำมากขึ้น เพราะน้ำเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย 75%

มีงานวิจัยพบว่าในคน 100คน ที่ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้วจะช่วยให้คน 80 คนลดอาการปวดหลังปวดข้อลงได้

ดื่มน้ำวันละ 5 แก้วลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ได้ถึง 45 % มะเร็งเต้านมได้ 79% และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เกือบ 50%

ทีนี้มาลองรู้จักน้ำ “(น้ำสีดำ)”กันหน่อย แน่นอน(น้ำสีดำ)รสชาดยอดเยี่ยม

แต่ตำรวจทางหลวงจะบรรทุก(น้ำสีดำ) 2แกลลอนในช่องท้ายรถเพื่อเวลามีรถชนกันสามารถเอา 'น้ำ(น้ำสีดำ)'ล้างเลือดบนถนนได้เกลี้ยงเกลา

ถ้าเอา T-bone steak ใส่ในชามกะละมังที่มีน้ำ(น้ำสีดำ)เต็ม จะพบว่าจะถูกละลายไปหมดใน2วัน

ริน(น้ำสีดำ) 1 กระป๋องลงในโถส้วมทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงแล้วชักโครกกรดซิตริกใน(น้ำสีดำ)จะล้างคราบสกปรกในโถส้วมได้สะอาด
ถ้าต้องการกัดสนิมที่กันชนชุมโครเมี่ยมของรถ ให้เอาที่ขัดที่ทำด้วย foil ชุบ(น้ำสีดำ) ขัดสนิมจะออกหมด

ถ้าจะล้างทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ที่มีคราบกรดเกลือเกาะขาวๆให้เทน้ำ(น้ำสีดำ) ฟองจะกัดคราบขาวออกได้หมด ถ้าจุดขวดติดแน่นงัดไม่ออกเอาผ้าชุบน้ำ(น้ำสีดำ)หุ้มไว้หลายๆ นาที จะบิดจุดขวดออกได้โดยง่าย

ถ้าจะปิ้ง moist ham ให้เท(น้ำสีดำ) 1 กระป๋อง เทลงในกระทะ ห่อแฮมด้วยอะลูมิเนียมฟอล์ยแล้วปิ้ง 30 นาที ก่อนแฮมจะสุก
แกะฟอล์ยออกปล่อยให้น้ำเนื้อหยดลงไปผสมกับน้ำ(น้ำสีดำ)ในกระทะ ท่านจะได้น้ำเกรวี่สีน้ำตาล

การล้างคราบไขมันจากเสื้อผ้าให้ใช้น้ำ(น้ำสีดำ) 1 กระป๋อง ผสมกับผงซักฟอกในปริมาณที่จะใส่ในเครื่องซัก ปล่อยให้ซักด้วยเครื่องตามปกติ (น้ำสีดำ)จะช่วยกำจัดคราบไขมันได้สะอาดหมดจด

ท่านสามารถผสม(น้ำสีดำ)ลงในน้ำล้างกระจกรถยนต์ ฟอสฟอริคแอซิดใน(น้ำสีดำ) จะช่วยทำความสะอาดกระจกได้ดี

ุ น้ำ(น้ำสีดำ)มี pH 2.8 ถ้าตัดเล็บแช่ในน้ำ(น้ำสีดำ) 4 วัน จะละลายหมด

เวลาขนย้ายน้ำ(น้ำสีดำ)เข้มข้นเพื่อส่งตามโรงงานทั่วโลกที่รถ truck จะต้องติดป้ายไว้ว่า “มีวัตถุที่มีกรดกัดกร่อนได้ เป็น
อันตราย”

ุ บริษัทขายน้ำ(น้ำสีดำ)ใช้น้ำ(น้ำสีดำ)ทำความสะอาดเครื่องยนต์ของรถ truck มานานประมาณ 20 ปีแล้ว

ท่านยังอยากดื่ม (น้ำสีดำ)หรือดื่มน้ำกัน เลือกเอาเอง

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ถั่วงอกดิบมีโทษ !!!!!!!!

ในผักสดบางชนิดมีสารพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ในถั่วงอก

มีสารพิษพวกที่เรียกว่าไฟเตต ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะ
ไปจับแร่ธาตุบางชนิดที่อยู่ในอาหาร
ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย
ร่างกายจะเป็นโรคขาดแร่ธาตุ
สารพิษเหล่านี้สามารถทำลายได้โดยการต้ม

จึงควรรับประทานถั่วงอกสุขดีกว่าถั่วงอกดิบ

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทำไมถึงมีกลิ่นตัวแรงงงงงงงง !!!!!!!!

หลายคนอาจจะเห็นประสบพบ ปัญหานี้ ไม่ว่าจะเป็นจากตัวคุณเอง คนใกล้ตัว หรือ เพื่อนฝูงรอบข้าง วันนี้ทีมงานสนุก! แคมปัส ขออาสาพาไปไขข้อข้องใจกัน…

การมีกลิ่นตัวแรงอาจเนื่องมาจากเหตุ 3 ประการด้วยกัน คือ…

ประการแรก อาจเกิดขึ้นจาการมีสาร บางอย่างที่มีกลิ่นเหม็นนั้นอยู่ในกระแสเลือด โดยสารพวกนี้ได้รับเข้าไปทางอาหารและจะถูกขับออกมาทิ้งโดยทางเหงื่อ ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้

ประการที่สอง อาจเกิดจากพวกแบคทีเรียที่มีอยู่ตามผิวหนัง รวมกับเหงื่อ ทำให้เกิดการบูดเน่าและมีกลิ่นเหม็น

ประการที่สาม เกิดจากการสลายตัวของสารที่ละลายปนออกมากับเหงื่อ ทำให้มีกลิ่นเหงื่อเกิดขึ้น โดยมากจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่สนใจที่จะอาบน้ำชำระเหงื่อไคล หรือไม่ค่อยเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มอยู่เสมอ


วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิตามินซี คืออะไร



ประวัติการค้นพบ วิตามินซี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าพวกทหารเรือที่มีการรอนแรมออกเดินเรือไปในทะเลเป็นเวลานานๆ ซึ่งมักจะขาดแคลนพวกผักสดผลไม้สด จะป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการอ่อนเพลีย อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าจะไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาว เป็นประจำ และเมื่อต่อมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ในปี 1982 ก็สามารถหาสารอาหารสำคัญที่เป็นต้นเหตุของโรคดังกล่าวได้ว่าสารที่พวกทหาร เรือขาดไปคือ “กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid)” ซึ่งมันมีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ ในปัจจุบัน กรดแอสคอร์บิค ก็ถูกรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ “วิตามินซี” และมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2ครั้ง และมีอายุยืนยาวมากกว่า 90 ปีแม้จะป่วยเป็นโรค มะเร็ง มายาวนานถึง 20 ปีก็ตามคือ Dr.Linus Pauling ชาวเมืองพอรต์แลนด์ ได้เคยพูดไว้ว่า เหตุที่เขาสามารถมีสุขภาพดีและสามารถชะลอการลุกลามของโรค มะเร็ง ในตัวได้นานกว่า 20 ปี ก็เนื่องจาก วิตามิน และ เกลือแร่ ที่เขารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินซี ซึ่งหลังจากที่เขารับประทานขนาดสูงทุกวัน เขาก็ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย Dr.Linus Pauling เริ่มรับประทาน วิตามินซี ชนิดเม็ดตั้งแต่อายุ 40 ปี และเพิ่มขนาดสูงถึง 18,000 มิลลิกรัม เมื่อรู้ว่าตนเองเป็น มะเร็ง ตั้งแต่อายุได้ 64 ปี เขายืนยันว่ามันช่วยให้ มะเร็ง ในร่างกายสงบลง

ประโยชน์ของ วิตามินซี
เราทราบ กันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น


วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

๕ ธันวาคม วันพ่อแห่งชาติ


5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมี
กระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ

วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ใกล้จะถึงวันพ่อแล้ว มาทำอะไรดีๆกันเถอะ !



8 วิธีง่ายๆ
ในการทำดีโดยเริ่มจากตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุด และสามารถทำได้ทุกวัน

วิธีที่ 1 ทำดีง่ายๆ เริ่มต้นที่กายแข็งแรง เมื่อกายแข็งแรงแล้ว จะเป็นจุดเริ่มให้ทำความดีมากยิ่งขึ้น

วิธีที่ 2 ทำดีง่ายๆ ทำใจให้เป็นสุข ด้วยการรู้จักลด ละ เลิกอบายมุข ทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และยาเสพติด ชำระใจให้สะอาด มีสติเป็นเครื่องเตือนใจ เพื่อดำเนินชีวิตให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

วิธีที่ 3 ทำดีง่ายๆ กับครอบครัวและคนใกล้ตัว โดยรู้จักการแบ่งปัน หยิบยื่นความรักและความปรารถนาดีแก่ผู้อื่น ผิดใจก็รู้จักให้อภัย ชื่นชมและให้กำลังใจกันเสมอ

วิธีที่ 4 ทำดีง่ายๆ ด้วยการอาสาช่วยเหลือสังคม รู้จักการเสียสละเวลา พละกำลังเป็นอาสาสมัคร เพื่อส่วนรวม เป็นการทำความดีอย่างมีความสุขโดยไม่หวังผลตอบแทน

วิธีที่ 5 ทำดีง่ายๆ ห่วงใยสิ่งแวดล้อม ลดการเพิ่มขยะใช้ถุงพลาสติคที่ไม่จำเป็น ท่องให้ขึ้นใจใช้ถุงผ้า รีไซเคิล จะทิ้งต้องลงถัง เก็บกวาดให้สะอาด ที่ทำงานสดใส สังคมก็จะน่าอยู่

วิธีที่ 6 ทำดีง่ายๆ ปลูกต้นไม้ถวายเป็นพระราชกุศล มีส่วนร่วมในการช่วยลดภาวะโลกร้อนแบบง่ายๆ ปลูกต้นไม้คนละต้น ปลูกทุกครั้งเมื่อมีโอกาส

วิธีที่ 7 ทำดีง่ายๆ รักพ่อต้องพอเพียง ประหยัด และอดออมให้ขึ้นใจ ยิ่งใช้น้อย ยิ่งเหลือเก็บมาก จ่ายในสิ่งที่จำเป็น เมื่อใช้จ่ายอย่างพอดี บริโภคอย่างพอเพียง ชีวิตจะสุขเพียงพอ

วิธีที่ 8 ทำความดีง่ายๆ ด้วยการให้และบริจาค รู้จักเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ เสียสละสิ่งของ ทรัพย์ โลหิต อวัยวะ ตามกำลัง ด้วยการให้ด้วยใจบริสุทธิ์ส่วนรวมย่อมจะพบกับความสุขสบายใจอย่างแท้จริง

ทำดี ไม่ต้องรอโอกาส เพื่อทุกๆ ความดีที่ทำ คือ ของขวัญจากใจพ่อที่ชื่นใจ